นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท. เปิดเผยว่า คณะกรรมการ ปตท.มีมติอนุมัติแผนการลงทุน 5 ปี ระหว่างปี 2560-2564 รวมวงเงิน 338,849 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทใช้งบลงทุนประมาณ 83,661 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานจำนวน 20,647 ล้านบาท แผนร่วมทุนและการลงทุนของบริษัทที่ปตท.ถือหุ้น 100 เปอร์เซ็นต์ จำนวน 47,265 ล้านบาท ธุรกิจน้ำมันและการค้าระหว่างประเทศจำนวน 10,376 ล้านบาท ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ จำนวน 4,556 ล้านบาท และใช้ลงทุนในสำนักงานใหญ่และอื่นๆจำนวน 817 ล้านบาท
ในปี 2561 บริษัทวางงบลงทุนรวม 102,282 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการลงทุนในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน 36,874 ล้านบาท แผนร่วมทุนและการลงทุนของบริษัทที่ปตท.ถือหุ้น 100 เปอร์เซ็นต์ จำนวน 51,975 ล้านบาท ธุรกิจน้ามันและการค้าระหว่างประเทศ จำนวน 9,036 ล้านบาท ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ จำนวน 3,887 ล้านบาท และใช้ลงทุนในสำนักงานใหญ่และอื่นๆ จำนวน 510 ล้านบาท
สำหรับปี 2562 ใช้ลงทุนประมาณ 60,486 ล้านบาท แบ่งเป็นลงทุนในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน 35,970 ล้านบาท แผนร่วมทุนและการลงทุนของบริษัทที่ปตท.ถือหุ้น 100 เปอร์เซ็นต์ จำนวน 14,313 ล้านบาท ธุรกิจน้ำมันและการค้าระหว่างประเทศ จำนวน 7,265 ล้านบาท ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ จำนวน 2,382 ล้านบาท และใช้ลงทุนในสำนักงานใหญ่และอื่นๆอีกประมาณ 556 ล้านบาท
ปี 2563 จะใช้ลงทุนรวม 34,327 ล้านบาท แบ่งเป็นลงทุนในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน 9,935 ล้านบาท แผนร่วมทุนและการลงทุนของบริษัทที่ปตท.ถือหุ้น 100 เปอร์เซ็นต์ จำนวน 13,944 ล้านบาท ธุรกิจน้ำมันและการค้าระหว่างประเทศ จำนวน 7,785 ล้านบาท ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ จำนวน 2,066 ล้านบาท และใช้ลงทุนในสำนักงานใหญ่และอื่นๆจำนวน597ล้านบาท
สุดท้าย ปี 2564 บริษัทวางงบกว่า 58,093 ล้านบาท แบ่งเป็นลงทุนในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน 40,882 ล้านบาท แผนร่วมทุนและการลงทุนของบริษัทที่ปตท.ถือหุ้น 100 เปอร์เซ็นต์ จำนวน 7,551 ล้านบาท ธุรกิจน้ำมันและการค้าระหว่างประเทศ จำนวน 6,736 ล้านบาท ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ จำนวน 2,304 ล้านบาท และใช้ลงทุนในสำนักงานใหญ่และอื่นๆจำนวน 620ล้านบาท
ทั้งนี้การลงทุนส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นการลงทุนในกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน และธุรกิจน้ำมันซึ่งเป็นธุรกิจหลักของ ปตท. โดยมีการลงทุนหลักได้แก่ ระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ และพัฒนาสถานีบริการ การร่วมทุนและการลงทุนในบริษัทลูกที่ถือหุ้น 100 เปอร์เซ็นต์ อาทิการลงทุนในการขยายความสามารถในการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลวเพื่อรองรับความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นในประเทศ
นอกจากนี้ ปตท.จะยังเดินหน้าด้านการพัฒนากระบวนการเพิ่มผลผลิตอย่างต่อเนื่อง ใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่มีอยู่ปัจจุบันให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยกำหนดเป้าหมายและแผนการดำเนินการอย่างชัดเจน และติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด
นายสุกฤตย์ สุรบถโสภณ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงทิศทางและแนวโน้มสถานการณ์น้ำมันของโลกในปี 2560 ว่าทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกในปีนี้คาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ในระดับ 50-55 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยความต้องการน้ำมันดิบของโลกในปี2560 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับราว 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว และจากผลของราคาน้ำมันที่ทรงตัวในระดับต่ำ ซึ่งส่งผลให้มีการใช้น้ำมันมากขึ้น
ขณะเดียวกัน กลุ่มโอเปกมีแนวโน้มที่จะมีมาตรการในการควบคุมกำลังการผลิตมากขึ้น ประกอบกับกำลังการผลิตจากผู้ผลิตนอกโอเปกที่เริ่มฟื้นตัวก็ยังอยู่ในปริมาณจำกัด สภาวะล้นตลาดของน้ำมันดิบจึงเริ่มลดน้อยลง และคาดว่าจะเริ่มเข้าสู่สภาวะสมดุลในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2560 อย่างไรก็ตาม ทิศทางและราคาน้ำมันหลังปี 2560 ยังคงมีความไม่แน่นอนจากปัจจัยที่เกิดจากการตัดสินใจเชิงนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม นโยบายของประเทศหลักของโลก การพัฒนาเทคโนโลยี ตลอดจนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันซึ่งเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์ รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า อุปกรณ์เก็บพลังงานประจำบ้าน เป็นต้น การพัฒนาประเทศไทยเข้าสู่ยุค Thailand 4.0 เพื่อให้หลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลางด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ย่อมมีผลกระทบโดยตรงเช่นกันกับแนวโน้มอุปสงค์น้ำมันภายในประเทศ