“ผู้นำคือผู้นำความรับผิดชอบ ไม่ใช่ผู้นำในความสำเร็จ” รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส CEOใหม่แห่งSCG เตรียมงบลงทุน 2.5 แสนลบ.อัดแผนงานถึงปี 63

เครือซีเมนต์ไทยประกาศแต่งตั้งนายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส นั่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG ต่อจาก นายกานต์ ตระกูลฮุน ที่เกษียณอายุไปเมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา จากรุ่นแรกจนถึงปัจจุบัน รุ่งโรจน์ รังสิโยภาสนับเป็นแม่ทัพใหม่คนที่ 11 ในเครือ SCG

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส เข้าร่วมงานกับSCG มาตั้งแต่ปี 2530 ในตำแหน่งวิศวกร บริษัท กระเบื้องกระดาษไทย จำกัด ถือเป็นลูกหม้อของSCG และได้ผ่านตำแหน่งสำคัญๆในองค์กรมามากมาย เช่น ผู้อำนวยการสำนักงานวางแผนกลาง,ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่,กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เปเปอร์ และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ซึ่งเป็นช่วงที่ถูกวางตัวให้เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่แทน กานต์ ตระกูลฮุน

ด้านการศึกษาแม่ทัพSCGคนใหม่จบการศึกษาระดับปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาเหมืองแร่ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโทจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาอุตสาหการ University of Texas และปริญญาโทจากคณะบริหารธุรกิจ Harvard Business School ประเทศสหรัฐอเมริกา

นายรุ่งโรจน์ เปิดเผยว่า การเป็นผู้นำในองค์กรหมายความว่าคุณมีความรับผิดชอบในระดับผู้นำ แต่การทำงานคุณมีหน้าที่เหมือนคนอื่นทุกคน ทุกคนมีหน้าที่ในการทำงานของตัวเองให้สำเร็จ  ความสำเร็จไม่ใช่เกิดจากผู้นำเพียงคนเดียว ผู้นำต้องมีความรับผิดชอบ เมื่อเกิดปัญหาคุณก็ต้องเป็นผู้นำ  ผู้นำในความรับผิดชอบไม่ใช่ผู้นำในความสำเร็จ” เป็นประโยคที่ตามมาซึ่งเชื่อว่าจะสามารถซื้อใจคนSCG ให้ทุ่มเททำความสำเร็จให้กับองค์กรได้เป็นอย่างดี

“จริงๆแล้วสิ่งที่ผู้นำองค์กรควรทำต้องบอกว่ามีน้อยมาก ส่วนใหญ่จะทำในเรื่องที่ไม่ควรทำ อย่างเช่น การทำให้พนักงานในองค์กรไม่กล้าที่จะตัดสินใจ ทำให้คนในองค์กรไม่มีความมั่นใจในการที่จะตัดสินใจไม่กล้าแสดงออก องค์กรจะเติบโตไปได้ด้วยการตัดสินใจ องค์กรก็เหมือนคน เมื่อใดก็ตามที่ผู้นำองค์กรทำให้คนไม่กล้าตัดสินใจ ก็แปลว่าผู้นำองค์กรมาผิดทาง ไม่ได้ทำหน้าที่ที่ควรจะทำ สิ่งหนึ่งที่ผู้นำองค์กรไม่ควรทำคือ การเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับองค์กร เช่น เอาเปรียบ ไม่ใส่ใจในเรื่องคน เลือกที่รักมักที่ชัง เลือกปฏิบัติ ไม่กล้าเป็นผู้นำที่จะเปลี่ยนแปลง” แม่ทัพคนใหม่ กล่าว

นายรุ่งโรจน์ เปิดเผยถึงการลงทุนว่า SCG ได้ตั้งงบลงทุน 5 ปี คือระยะเวลาปี 2559-2563 มูลค่า 2.5 แสนล้านบาท ในระยะสั้นยังไม่มีการทบทวน แต่โดยปกติจะเฉลี่ยการลงทุนปีละประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท สำหรับงบส่วนนี้จะใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักร การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานหรือลดต้นทุนพลังงาน และการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการใช้เงินสำหรับการเข้าซื้อกิจการที่มีศักยภาพ และอีกส่วนเป็นเงินลงทุนในการขยายงานประเทศเพื่อนบ้านที่ได้เข้าไปลงทุนแล้ว ซึ่งการลงทุนในอาเซียน ยังคงเดินหน้าต่อเนื่องจากแผนที่วางไว้ โดยเฉพาะโรงงานปูนซีเมนต์ในอินโดนีเซีย กำลังผลิต 1.8 ล้านตันต่อปีได้เริ่มผลิตสินค้าออกสู่ตลาดแล้วเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ ทำให้ธุรกิจปูนซีเมนต์มีการแข่งขันที่นับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันประเทศมีกำลังการผลิตอยู่ราว 60 ล้านตันต่อปี ใช้ในประเทศประมาณ 40 ล้านตัน และส่งออกอีก 10 ล้านตันต่อปี ทำให้มีกำลังการผลิตเหลืออีก 10 ล้านตันต่อปี ส่งผลให้มีการแข่งขันที่จะช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดของแต่ละค่ายค่อนข้างสูง รวมถึงการแข่งขันในตลาดส่งออกของภูมิภาคนี้ที่มีการขยายตัวค่อนข้างมาก และมีกำลังการผลิตใหม่จากจีนที่เข้ามาลงทุนในภูมิภาคนี้ เป็นคู่แข่งขันที่สำคัญด้วย

สำหรับผลประกอบการธุรกิจปูนซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างของSCG ในไตรมาสแรกมีรายได้ลดลงมาอยู่ที่ 4.58 หมื่นล้านบาท หรือลดลง 3 เปอร์เซอร์ จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรอยู่ที่ 3.29 พันล้านบาท ปรับตัวลดลง 8 เปอร์เซ็นต์ จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้ของธุรกิจดังกล่าวนี้ คิดเป็น 39 เปอร์เซ็นต์ ของรายได้ทั้งหมดที่ 1.09 แสนล้านบาท โดยในปีนี้เอสซีจีจะมีรายได้จากธุรกิจนี้เพิ่มขึ้นมาอีก จากการเปิดเดินเครื่องโรงงานปูนซีเมนต์ที่กัมพูชา ในส่วนขยายอีก 9 แสนตัน จากเดิม 1.1 ล้านตัน และโรงงานที่เมียนมา กำลังผลิต 1.8 ล้านตัน จะเปิดเดินเครื่องในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ขณะที่โรงงานที่สปป.ลาว กำลังผลิต 1.8 ล้านตัน จะเปิดเดินเครื่องช่วงกลางปี 2560

“รายได้และกำไรในธุรกิจต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นมา เป็นผลจากที่ได้ลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาสินค้าในธุรกิจต่างๆ โดยการสร้างนวัตกรรม ให้เป็นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม เหนือคู่แข่งขัน และรองรับความต้องการของตลาด ส่งผลให้ในไตรมาสแรกของปีนี้ มียอดขายจากสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มถึง 4.22 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 3เปอร์เซ็นต์จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็น 39เปอร์เซ็นต์ ของยอดขายรวม ดังนั้น ในปีนี้ จึงจะใช้งบในส่วนนี้อีกราว 3.5 พันล้านบาท ในการวิจัยและพัฒนา จากช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาได้ใช้ไปแล้ว 900 ล้านบาท”นายรุ่งโรจน์ กล่าว