นางสาวกัณญภัค ตันติพิพัฒนพงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย หรือ สรท. ประเมินสถานการณ์ส่งออกปี 2563ว่าการส่งออกของไทยจะไม่ขยายตัวมาก จะเติบโต 0-1เปอร์เซ็นต์ บนสมมติฐานค่าเงินบาทอยู่ที่ 30.5 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งยังไม่พบปัจจัยบวกใดแต่ยังดีที่กระทรวงพาณิชย์มีมาตรการเปิดตลาดใหม่และเร่งเจรจาการค้าเสรี (เอฟทีเอ)ที่ค้างอยู่ทำให้ช่วยการส่งออกของไทยได้ในระดับหนึ่ง
ปัญหาค่าเงินบาทเป็นปัญหาหนักของการส่งออกไทย หากปีหน้าค่าเงินบาทหลุดไปเคลื่อนไหวในระดับ 29 บาท การส่งออกไทยตายแน่ เพราะค่าเงินแข็งค่ากว่าคู่แข่งมาก ขอให้ ธปท.ดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่ากว่านี้ ส่วนการปรับค่าแรงนั้น สรท.เห็นว่าหากปรับทั่วประเทศจะกระทบผู้ประกอบการ
ด้านนายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธาน สรท. กล่าวว่า ปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวังและติดตาม คือ ปัญหาสงครามการค้าที่ยังมีความกังวลต่อท่าทีในการลงนามในเฟส 1 เพราะมีหลายประเด็นที่ไม่สามารถตกลงร่วมกันได้ อาทิ การสั่งซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐและทรัพย์สินทางปัญญา ในขณะที่มาตรการ IMO Low Sulphur 2020 มีผลบังคับใช้วันที่ 1 ม.ค.ปี2563 สายเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเริ่มออกประกาศอัตราเรียกเก็บเพิ่มค่า Bunker Surcharge หรือค่า Low Sulphur Surcharge ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเพิ่มขึ้นของค่าระวางในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศและกระทบต่อต้นทุนรวมของผู้ประกอบการส่งออกและนำเข้า
นอกจากนี้ สถานการณ์ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง เพราะเงินบาทถูกมองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นเดียวเงินเยน ซึ่งทำให้การส่งออกทุกกลุ่มสินค้าชะลอตัว และที่ผ่านมาค่าเงินบาทแข็งถึง 8.47 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งเศรษฐกิจในประเทศมีแนวโน้มชะลอตัว แนวโน้มการเรียกเก็บภาษี ซึ่งเป็นต้นทุนผู้ประกอบการมีมากขึ้น กฎหมายและมาตรการภาครัฐที่กำหนดเพิ่มเติมในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวเป็นการลดทอนความสามารถในการแข่งขันของภาคการส่งออกให้ถดถอยมากขึ้น เช่น การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ การยกเลิกใช้สารเคมีการเกษตรที่จะทำให้ไทยนำเข้าพืชวัตถุดิบที่ใช้สารเคมีบางประเภทไม่ได้