บริษัท ควอลิตี้เฮาส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ได้รับผลการประเมินการสำรวจการกำกับดูแลกิจการตามโครงการ Corporate Governance Report of Thai Listed Companies (CGR) ในระดับดีเลิศ (Excellent) เตรียมเปิด 6 โครงการ มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท
นายประวิทย์ โชติวัฒนาพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทเตรียมเปิดตัว 6 โครงการ รวมมูลค่า 10,000 ล้านบาท ในรูปแบบบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม ที่มาพร้อมดีไซน์ทันสมัย ฟังก์ชั่นการ ใช้งานลงตัว กลมกลืนกับวิถีชีวิตคนยุคใหม่ บนทำเลศักยภาพ ติดถนนใหญ่ สะดวกเชื่อมต่อเมือง โดยความต้องการโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบ สอดคล้องกับภาพรวมการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา เพราะปกติการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์จะเติบโตสอดคล้องกับภาพรวมของเศรษฐกิจประเทศ อีกทั้งการเดินทางของนักท่องเที่ยว หรือต่างชาติก็สนใจเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์มากขึ้น
ด้านงานพัฒนาอย่างยั่งยืน บริษัทยังคงยึดมั่นดำเนินงานตามนโยบาย และแนวปฏิบัติ เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตามแนวทาง ESG ที่ครอบคลุมมิติสิ่งแวดล้อม มิติสังคม และมิติบรรษัทภิบาล ภายใต้หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี มีการพัฒนาที่อยู่อาศัย พร้อมขับเคลื่อนนวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยการคัดสรรวัสดุก่อสร้างที่เน้นการประหยัดพลังงาน ลดความร้อน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ปัจจุบัน QH มี backlog มูลค่า 813 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะรับรู้เป็นรายได้ทั้งหมดในปี 2567 สําหรับไตรมาส 2/67 คาดว่ากําไรจะเพิ่มขึ้นโดยได้รับการสนับสนุนจากการรับรู้รายได้เพิ่มขึ้น
เจาะแนวโน้มอสังหาฯครึ่งหลังปี 67
จากข้อมูลศูนย์วิจัยกสิกรไทยเปิดเผยว่า จากความต้องการและความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยที่ยังไม่กลับมา โดยผู้บริโภคยังชะลอการซื้อ จากข้อมูลของ Agency for Real Estate Affairs ระบุว่า ช่วง 2 เดือนแรกปี 2567 ยอดจองซื้อที่อยู่อาศัยเปิดใหม่ ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลหดตัว 48.1 เปอร์เซ็นต์ (YoY) หรือมีจำนวนเพียง 6,769 หน่วย
รวมถึงจำนวนที่อยู่อาศัยรอขายสะสมที่สูงสุดในรอบ 29 ปี จากข้อมูลของ AREA ณ สิ้นปี 2566 ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลมีที่อยู่อาศัยรอขายสะสมกว่า 2.3 แสนหน่วย คาดว่าจะใช้เวลาในการระบายมากกว่า 3 ปี โดยกว่า 36 เปอร์เซ็นต์ เป็นคอนโดมิเนียม และกลุ่มที่ต้องระวังคือระดับราคา 1-3 ล้านบาทที่มีหน่วยรอขายสะสมสูง สำหรับทาวน์เฮ้าส์ มีสัดส่วน 34 เปอร์เซ็นต์ โดยกลุ่มระดับราคา 2-3 ล้านบาท มีจำนวนรอขายมากกว่าครึ่ง
ขณะที่ กลุ่มบ้านเดี่ยวและแฝดมีจำนวนรอขายเร่งตัวขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการเปิดโครงการจำนวนมาก โดยบ้านเดี่ยวที่ต้องระวังจะเป็นระดับราคา 5-10 ล้านบาท รวมทั้งราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ที่จำนวนกลุ่มลูกค้ามีขนาดเล็ก และผู้ประกอบการเข้ามาทำตลาดมาก ถึงแม้ว่าสัดส่วนรอขายจะยังน้อยหากเทียบกับกลุ่มอื่น
จากสถานการณ์ดังกล่าวและแผนการเปิดโครงการใหม่ของผู้ประกอบการหลายรายที่ลดลงในปีนี้ เนื่องจากผู้ประกอบการน่าจะติดตามทิศทางเศรษฐกิจและมาตรการภาครัฐ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงมองว่า การเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลในปี 2567 น่าจะหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันอีกกว่า 19 เปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตามในช่วงที่เหลือของปี 2567 คงจะต้องติดตามจังหวะเวลาและรายละเอียดการออกมาตรการของภาครัฐ อย่างมาตรการทางการเงินและภาษีสำหรับตลาดที่อยู่อาศัยที่จะเข้ามาช่วยประคองสถานการณ์ตลาด