บริษัท สหมิตรถังแก๊ส จำกัด (มหาชน) (SMPC) เจ้าของรางวัลกลุ่มบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล หรือ ESG100 2 ปีติดต่อกัน จัดงานครบครบรอบ 40 ปี ของบริษัท
ภายในงานมีคณะผู้บริหารนำโดยคุณปัทมา เล้าวงษ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส พนักงาน ร่วมกิจกรรมทำบุญบริษัทและนิทรรศการแสดงประวัติความเป็นมาและผลงานความสำเร็จของบริษัท ที่มุ่งสร้างการเติบโตในธุรกิจผ่านบริการที่ได้รับความไว้วางใจ และสินค้าที่มีคุณภาพระดับโลก เพื่อก้าวหน้าไปกับลูกค้าและผู้มีส่วนร่วมของบริษัทในอนาคต
นายสุรศักดิ์ เอิบสิริสุข กรรมการผู้จัดการ SMPC เปิดเผยว่าในปีนี้บริษัทคาดยอดขายถังแก๊สฯ ปี 64 เติบโต 10-15 เปอร์เซ็นต์ และมีปริมาณการขายถังแก๊สที่ 8 ล้านถัง เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 7.3 ล้านถัง เป็นไปตามความต้องการใช้ LPG ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับ World LPG ที่ประเมินว่าตั้งแต่ปี 63-73 LPG จะยังมีโอกาสในการเติบโตอีกมาก โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่น่าจะมีการเติบโต เช่น เอเชียแปซิฟิก และกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาอื่นๆ อย่าง แอฟริกา หรือเอเชีย ซึ่งถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการใช้ LPG สูง โดยเฉพาะสำหรับการหุงต้ม
อย่างไรก็ตามบริษัทยังตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิต (Utilization) ปีนี้เป็น 80 เปอร์เซ็นต์ และในปี 65 เป็น 92 เปอร์เซ็นต์ จากปี 63 อยู่ที่ 73 เปอร์เซ็นต์ เพื่อรองรับความต้องการใช้ LPG ที่เพิ่มขึ้น ในส่วนของการลงทุนบริษัทวางงบลงทุนรวมไว้ที่ 100 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างโรงถังเก็บแก๊ส ASME ที่มีขนาดใหญ่
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะดีกว่าจากในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา โดยออเดอร์มีเข้ามาอย่างต่อเนื่องเป็นจำนวนมากไปถึงปลายปีแล้วขณะที่ลูกค้าสามารถรับภาระค่าใช้จ่ายจากสถานการณ์การส่งออกทางเรือได้มากขึ้น และแนวโน้มการอ่อนค่าของค่าเงินบาทส่งผลบวกต่อบริษัท ขณะเดียวกันสำหรับปีนี้บริษัทได้มีการขยายตลาดใหม่ๆ เพิ่ม ได้แก่ ในทวีปอเมริกาใต้ หลังจากที่ยอดขายในทวีปอเมริกาเหนือเติบโตแรง นอกจากนี้ยังมีประเทศในแถบแอฟริกาที่ยังมีโอกาสการเติบโตอีกมาก ขณะที่ตลาด CLMV ก็มียอดขายดีขึ้นเช่นเดียวกัน เชื่อว่าจะช่วยสนับสนุนยอดขายในปีนี้ให้เติบโต 10-15เปอร์เซ็นต์ได้ตามแผน
นายสุรศักดิ์ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า บริษัทมีคำสั่งซื้อยาวเกือบถึงสิ้นปี 2564 โดยเน้นการขายถังแก๊สขนาดใหญ่ (ถังสามส่วน) เพราะอัตราก าไรสูงกว่าถังขนาดเล็ก ขณะที่เงินบาทอ่อนค่า ลูกค้าสามารถรับภาระค่าขนส่งได้มากขึ้นกว่าในช่วงต้นปีที่ผ่านมาและบริษัทเน้นการขายแบบ FOB มากขึ้น (เฉลี่ยครึ่งปี H1/2564 = 75 เปอร์เซ็นต์, ปี 2563 = 60 เปอร์เซ็นต์) เพื่อลดความเสี่ยงจากค่าขนส่งที่อาจสูงขึ้นมาก แม้ปริมาณการขายถังก๊าซในช่วงครึ่งปีแรก จะทำได้3.5 ล้านใบ
ทั้งนี้โดยรายได้หลักกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ มาจากตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปแอฟริกา อเมริกาเหนือและเอเชียแปซิฟิก มีสัดส่วนรวมกันมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ของยอดขาย ซึ่งเป็นตลาดที่มีความต้องการใช้LPG เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยทวีปแอฟริกาและเอเชียแปซิฟิกมีการคาดการณ์ว่าจะเป็นตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดในช่วง 10 ปีข้างหน้า เนื่องจากยังเป็นตลาดที่มีอัตราการใช้แก๊สต่อประชากรที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว
ขณะที่ตลาดในประเทศมีสัดส่วนเพียง 3 เปอร์เซ็นต์ เป็นตลาดที่อิ่มตัว มีการบริโภคก๊าซ 32-33 กิโลกรัม/คน/ปีแต่เป็นตลาดที่ต้องมีการตรวจคุณภาพถังก๊าซทุกๆ 5 ปีท าให้บริษัทมีรายได้บางส่วนจากการรับซ่อมและตรวจสอบคุณภาพถังสม่ำเสมอ
ส่วนสถานการณ์ราคาเหล็กในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นมากอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลต่อบริษัทบางส่วนอย่างไรก็ตาม เนื่องจากนโยบายการเสนอราคาของบริษัทเป็นแบบ Cost plus และลูกค้าบางรายที่เป็นออเดอร์ระยะยาว จะมีเงื่อนไขให้บริษัทสามารถเจรจาปรับราคาได้หากมีการเปลี่ยนแปลงของราคาเหล็กมาก ประกอบกับบริษัทยังคงมีสต๊อกเหล็กที่ราคาไม่สูงมากส ารองไว้จำนวนหนึ่ง จึงคาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อมาร์จิ้นมากนัก ในทางกลับกันแนวโน้มราคาเหล็กที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าบางรายตัดสินใจสั่งซื้อในปริมาณที่มากขึ้นและเร็วขึ้น เป็นผลให้ยอดขายเติบโตมากขึ้นด้วย