ก้าวสู่ปีที่ 53 ช.การช่าง มีรายได้ (Backlog) สูงถึง 2.13 แสนล้านบาท วางเป้าปี 68 เมกะโปรเจคกว่า 6.8 พันล้านบาท ปรับปรุงระบบ- จัดหารถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าหลวงพระบาง จะรับรู้รายได้ 4-5 พันล้านบาทต่อไตรมาส ต่อเนื่องถึงปลายปี 2570 ด้าน SCB EIC คาดมูลค่าการก่อสร้างภาครัฐปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัว 3 เปอร์เซ็นต์
นายณัฐวุฒิ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) (CK) กล่าว ก้าวสู่ปีที่ 53 ของบริษัทฯ มียอดงานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 2.13 แสนล้านบาทซึ่งจะหนุนการเติบโตของกำไรบริษัทฯต่อไปในอนาคตและสะท้อนถึงแนวโน้มที่เป็นบวกต่อมุมมองการลงทุนในหุ้น CK และภาพรวมธุรกิจเป็นไปในทิศทางบวกและเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง จากปัจจัยพื้นฐานที่มั่นคงทั้งในด้านรายได้ที่มี Backlog รองรับไม่ต่ำกว่า 5 ปีอีกทั้งยังมีส่วนแบ่งกำไรและเงินปันผลที่สม่ำเสมอจากบริษัทลูกช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับผลประกอบการอีกด้วย
บริษัทฯ ได้ลงนามเป็นผู้รับจ้างในสัญญาจ้างจัดหาขบวนรถไฟฟ้าเพิ่มเติมและปรับปรุงระบบรถไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องในโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน กับ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) ในฐานะผู้รับสัมปทาน มูลค่าสัญญาประมาณ 6,800,000,000 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ระยะเวลาดำเนินการ ประมาณ 1,260 วัน โดยมีรายละเอียดของงานดังต่อไปนี้1. งานจัดหาขบวนรถไฟฟ้าเพิ่มเติมจำนวน 21 ขบวน พร้อมติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณและระบบสื่อสารบนขบวนรถไฟฟ้า 2. งานปรับปรุงระบบอาณัติสัญญาณส่วนกลางและอุปกรณ์สนับสนุนที่ติดตั้งอยู่ระหว่างสถานีเพื่อเพิ่มความถี่ในการเดินรถไฟฟ้าและรองรับขบวนรถไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น 3. งานปรับปรุงระบบสื่อสารส่วนกลาง เพื่อรองรับการสื่อสารกับขบวนรถไฟฟ้าใหม่ 4. งานปรับปรุงระบบควบคุมระยะไกล เพื่อให้ศูนย์ควบคุมการเดินรถสามารถควบคุม การทำงานของระบบระบายอากาศภายในอุโมงค์ได้อย่างเหมาะสม และครอบคลุม ทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้น
ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าหลวงพระบาง จะรับรู้รายได้ 4-5 พันล้านบาทต่อไตรมาส ต่อเนื่องถึงปลายปี 2570 และยังมีโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่จาก BEM ที่น่าจะเข้ามาสร้างการเติบโตให้กับช.การช่างเพิ่มเติมได้อีก คืองานก่อสร้างทางด่วนชั้นที่ 2 Double Deck มูลค่า 3.5 หมื่นล้านบาท ปัจจุบัน BEM อยู่ระหว่างเจรจารายละเอียดกับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย คาดว่าจะเซ็นสัญญาได้ภายในไตรมาส 1/2568
ทางด้านศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ( SCB EIC ) คาดว่า มูลค่าการก่อสร้างภาครัฐในปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัว 3 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้หน่วยงานต่างๆ มีแผนเตรียมเสนอเปิดประมูลโครงการเมกะโปรเจคด้านคมนาคม เป็นโอกาสสำหรับผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ และส่งผลต่อเนื่องให้ผู้รับเหมาก่อสร้างรายกลางและเล็กในฐานะผู้รับเหมาช่วงมีโอกาสสร้างรายได้มากขึ้นและมีสภาพคล่องที่ดีขึ้น
ส่วนมูลค่าการก่อสร้างภาคเอกชนในปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวที่ 1เปอร์เซ็นต์ โดยโครงการที่อยู่อาศัยเผชิญแรงกดดันจากการฟื้นตัวช้าของตลาดที่อยู่อาศัย รวมถึงยังต้องจับตาภาวะ Oversupply ของอุปทานพื้นที่สำนักงานให้เช่า ที่อาจส่งผลให้เกิดการยกเลิกโครงการที่ไม่มีศักยภาพออกไป การก่อสร้างภาคเอกชนในส่วนของการก่อสร้างโครงการที่อยู่อาศัยเผชิญแรงกดดันจากการฟื้นตัวช้าของตลาดที่อยู่อาศัย ทั้งหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง อุปสรรคในการเข้าถึงสินเชื่อ และราคาที่อยู่อาศัยใหม่ที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นความท้าทายต่อการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ โดยเฉพาะโครงการกลุ่มระดับราคาปานกลางลงมา
ทั้งนี้การก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขยายโครงการพื้นที่ค้าปลีกและโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ในทำเลย่านธุรกิจและย่านท่องเที่ยว รวมถึงพื้นที่สำนักงานให้เช่าเกรด A ส่งผลให้อุปทานพื้นที่ค้าปลีกและอุปทานพื้นที่สำนักงานให้เช่ายังมีแนวโน้มขยายตัว ต่อเนื่อง