“เทพรัตน์ เทพพิทักษ์” ผู้ว่าการ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) คว้ารางวัลสุดยอด CEO รัฐวิสาหกิจดีเด่นสาขา Environment ซึ่ง กฟผ. เดินหน้าลดปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ สนองนโยบายรัฐสู่ Net Zero พร้อมเปิดนโยบายพลังงานปี 2568 มุ่งส่งเสริมพลังงานสะอาดเตรียมลงทุนรับมือพลังงานหมุนเวียนที่จะเพิ่มสัดส่วนมากขึ้นในอนาคต
นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า การที่ กฟผ. ได้รับรางวัลสุดยอด CEO รัฐวิสาหกิจสาขา Environment นี้ ต้องขอบคุณทีมงานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดที่สามารถช่วยดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อมได้ ทั้งนี้ กฟผ. เป็นรัฐวิสาหกิจ ที่ดูแลด้านการจัดการพลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก สังกัดกระทรวงพลังงาน ซึ่งในส่วนของกิจการพลังงานก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับด้านสิ่งแวดล้อมโดยตรง ดังนั้นนอกจาก กฟผ.จะดูแลด้านความมั่นคงทางพลังงานไฟฟ้าแล้ว ยังต้องดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญที่ต้องดูแลควบคู่กันไป
กฟผ. ทำธุรกิจผลิตไฟฟ้าและให้ความสำคัญกับการดูแลสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด ในอดีตสิ่งแวดล้อมก็มักเน้นเรื่องของค่าการปล่อยมลพิษต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมา กฟผ. ก็ได้ดูแลมาอย่างต่อเนื่องและทำได้ดีกว่าค่ามาตรฐาน รวมถึงดีกว่าที่กฎหมายกำหนดด้วย แต่ปัจจุบันสังคมมุ่งเน้นเรื่องสิ่งแวดล้อมในด้านของค่าคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้น ดังนั้นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนจึงต้องมีบทบาทมากขึ้น ส่วนการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิลก็ยังมีความสำคัญและจำเป็นอยู่
ฉะนั้นจากกรณีที่ กฟผ. มีบทบาท ทั้งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าและเป็นผู้บริหารจัดการระบบไฟฟ้าในไทย จึงต้องหาแนวทางลดการปล่อยคาร์บอนฯ และผลิตไฟฟ้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุด ดังนั้นกระบวนการผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. ต้องทำให้มีประสิทธิภาพสูงสุด มีการปล่อยของเสียให้น้อยที่สุดและประหยัดพลังงานในทุกมิติ รวมทั้งเพิ่มไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น
ส่วนการดูแลระบบไฟฟ้านั้น ในแง่นโยบายรัฐที่จะเดินหน้าไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ( Net Zero ) นั้น ทาง กฟผ. ซึ่งเป็นกลไกในการที่จะสนองนโยบายของรัฐ ก็จะมีการนำพลังงานทดแทนเข้ามามีส่วนในการผลิตไฟฟ้าในไทยให้มากขึ้น กฟผ. มีบทบาทที่ต้องดูแลเรื่องความมั่นคง จึงต้องบริหารจัดการระบบด้วยการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าโดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย (Grid Modernization) สำหรับรองรับพลังงานทดแทนต่างๆ ที่มากขึ้นเรื่อยๆ
นายเทพรัตน์ กล่าวถึงนโยบายพลังงานปี 2568 ต่อว่า การบริหารจัดการพลังงานหมุนเวียนที่เข้ามาในระบบจำนวนมากในอนาคตกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ว่าจะทำอย่างไร ให้ยังมีความมั่นคงด้านพลังงาน เพราะเป็นเหมือนการเปลี่ยนจาก Fossil Based เป็น Green Based ว่าถือเป็นความท้าทายอย่างมากสำหรับ กฟผ. เพราะทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม จะผลิตไฟฟ้าได้เพียงบางช่วงที่มีแสงแดดและมีลมเท่านั้น ต่างจากพลังงานฟอสซิลที่ผลิตไฟฟ้าและจ่ายกระแสไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมงในทุกๆวัน
ในอดีตเวลาดูเรื่องความมั่นคง กฟผ.จะบริหารเรื่องดีมานด์และซัพพลายให้เท่ากันตลอดเวลา แต่วันนี้แสงแดดและลมไม่ทราบว่าจะมาตอนไหน จึงต้องมีเทคโนโลยีมาช่วยให้มีความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการเช่น Virtual Power Plants -VPP , RE Forecast Center และ Grid Modernization รวมถึงตัวโรงไฟฟ้าของ กฟผ.ก็ต้องมีความยืดหยุ่นที่จะหรี่กำลังการผลิตลงได้ เมื่อมีไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์และลม ส่งเข้ามาในระบบ และต้องสามารถที่จะเร่งกำลังการผลิตเข้าไปทดแทนให้ได้ ในช่วงที่ไม่มีไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ และลม อย่างไรก็ตาม การหรี่กำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าหลักยังทำได้จำกัด บางช่วงที่มีกำลังผลิตส่วนเกิน กฟผ.จึงต้องนำไปใช้ประโยชน์อื่นเช่นเก็บไว้ในระบบแบตเตอรี่ การนำไปใช้ในโรงไฟฟ้าระบบสูบกลับ หรือในอนาคตกำลังมองเรื่องการนำไปผลิตเป็นไฮโดรเจน รวมถึงในอนาคตมีความจำเป็นที่จะต้องมีโรงไฟฟ้าทางเลือก เช่นโรงไฟฟ้าSMR หรือโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดจิ๋ว ที่ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจเข้ามาช่วยเสริมความมั่นคงในระบบด้วย