บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)( ITD) ประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมากว่า 62 ปี สู่การเป็นผู้รับเหมาระดับแนวหน้าในงานโยธาและโครงการก่อสร้างทุกขนาดแบบครบวงจร ทั้งในประเทศ-ต่างประเทศ
นายเปรมชัย กรรณสูต กรรมการและประธานบริหาร ITD เปิดเผยว่า ในปีนี้ ITD ได้งานเยอะ งานใหญ่ แต่เป็นงานที่เรามีความชำนาญ เช่น งานรถไฟความเร็วสูง 3 สนามบิน, งานยกระดับ ทำให้โอกาสเสี่ยงน้อยลง และมีโอกาสทำกำไรได้ แม้กำไรจะไม่มาก แต่มีกำไรแน่นอน บริษัทมีความมั่นใจว่างานในโครงการร่วมทุนกับภาครัฐในรูปแบบ PPP จะสามารถทำกำไรได้ตั้งแต่ช่วงแรกของโครงการ ส่วนโครงการที่บริษัทได้ลงทุนไปแล้วหรือกำลังจะพัฒนา ซึ่งถือเป็นรายได้ที่เข้ามาสม่ำเสมอก็น่าจะเกิดขึ้นได้ในอนาคตอันใกล้ ทำให้บริษัทมีโอกาสรับรู้รายได้และกำไรเข้ามาดีขึ้น เช่น โครงการโปแตช, โครงการ Alumina หรือทางด่วนที่บังคลาเทศ คาดว่าจะสามารถเทิร์นอะราวด์บางส่วนให้มีกำไรได้
“ในปีนี้ผลประกอบการจะพลิกกลับมามีกำไร หลังจาก ปี2562 ขาดทุนสุทธิ 37.34 ล้านบาท โดยขณะนี้บริษัทได้ปรับแผนการดำเนินงานใหม่มามุ่งเน้นรับงานที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อลดความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดผลกระทบต่อผลการดำเนินงาน”
ปัจจุบัน บริษัทมี Backlog รวมทั้งสิ้น 299,016 ล้านบาท แบ่งเป็นงานใหม่ มูลค่ารวม 18,328 ล้านบาท และงานที่บริษัทเป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดและอยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญา มูลค่ารวม 168,463 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถทยอยเซ็นสัญญาได้ตั้งแต่ครึ่งปีหลังนี้เป็นต้นไป และภายหลังจากนั้น 3 เดือนก็จะเริ่มรับรู้รายได้เข้ามา
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างประมูลงานใหม่และติดตามงานเพื่อเข้าประมูล มูลค่ารวม 589,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่จะเป็นงานภาครัฐ เช่น โครงการ Bangkok mall เฟส 2 เฟส 3 และ เฟส 4, สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ ปากซัน แขวงบอลิคำไซ), โครงการรถไฟทางคู่มาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ (สัญญาที่ 2 คลองขนานจิตร-ชุมทางถนนจิระ), รถไฟสายสีแดงส่วนต่อขยาย-สายสีแดงเข้ม (รังสิต-ธรรมศาสตร์), โครงการรถไฟทางคู่ระยะ 2, ก่อสร้างรถไฟสายใหม่ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ, รถไฟไทย-จีน สัญญา 1-4 บางซื่อ-ดอนเมือง
รวมทั้ง งานขยายกำลังการผลิตน้ำโรงงานมหาสวัสดิ์ ระยะที่ 5, งานถมทราย งานถมหิน งานโยธา ท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3, โครงการเกาะสมุยวงจร 4, งานรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ (6 สัญญา), รถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก (บางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรม) และงานสนามบินสุวรรณภูมิ งานสนามบินอู่ตะเภา เป็นต้น โดยบริษัทคาดหวังว่าจะได้รับงานประมาณ 30-35 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่างานทั้งหมด
สำหรับรายได้ปีนี้บริษัทยังไม่สามารถประเมินได้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการปิดงบการเงินในไตรมาส 1/2563 และไตรมาส 2/2563 และยังรอเซ็นสัญญางานโครงการต่าง ๆ อีกจำนวนมาก ซึ่งน่าจะใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างราว 4 ปี ขณะนี้สภาพคล่องทางการเงินยังอยู่ในระดับที่ดี เนื่องจากมีโครงการรอเซ็นสัญญาอยู่จำนวนมาก ทำให้น่าจะขอสินเชื่อจากธนาคารเพื่อนำไปชำระหนี้ได้ อีกทั้งในช่วงเดือนกันยายน 2563 บริษัทมีแผนจะออกหุ้นกู้วงเงินจำนวน 3,500 ล้านบาท เพื่อนำไปทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่จะครบกำหนดไถ่ถอน