นายพิมล ศรีวิกรม์ ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท อุตสาหกรรมพรมไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TCMC เปิดเผย ว่า บริษัทใช้เงินลงทุนกว่า 3.14 พันล้านบาท เพื่อซื้อธุรกิจพรมเพื่อการพาณิชย์ จาก Tai Ping Carpets International Limited ซึ่งประกอบด้วยบริษัทผลิตและจำหน่ายพรมในประเทศไทย คือ Carpets International และบริษัทจัดจำหน่ายพรมที่จดทะเบียนในหลายประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเก๊า และอินเดีย เพื่อช่วยทำการตลาดและประชาสัมพันธ์ แบรนด์ รอยัลไทย ให้เป็นที่รู้จักทั่วโลก
การตัดสินใจในครั้งนี้จะช่วยเข้ามาเสริมทัพความแข็งแกร่งให้บริษัทที่มีธุรกิจหลักคือ พรม และ ยังมีในส่วนของธุรกิจผ้าหุ้มเบาะและพรมสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์และ เฟอร์นิเจอร์ที่ได้เข้าซื้อกิจการมาก่อนหน้านี้ โดยหลังจากนี้บริษัทสามารถนำรายได้ของบริษัทใหม่ รายงานเข้าพอร์ตภายในไตรมาสที่ 4 ซึ่งจะทำให้ รายได้ของบริษัทในปีนี้ สูงกว่า 7.4 พันล้านบาท และในปีหน้าคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ โดยจะมีมูลค่าราว 10,000 ล้านบาท โดยเป็นยอดจากรายได้รวมจากการเข้าซื้อธุรกิจดังกล่าว
นายพิมล เผยว่า ด้วยสถานะการเงินที่แข็งแกร่งบริษัท พร้อมที่จะขยายกิจการและลงทุนผ่านกลยุทธ์การควบรวมกิจการอย่างต่อเนื่อง โดยการลงทุนครั้งนี้แม้ต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมากแต่ถือเป็นการเข้าลงทุนในกิจการที่มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ และมีความเกื้อหนุนเป็นประโยชน์ซึ่งกันและกันกับธุรกิจปัจจุบันเป็นอย่างมาก ทำให้บริษัทฯ มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน โดยธุรกิจ Commercial Carpet Business ที่เราเข้าซื้อได้ดำเนินการมาอย่างยาวนาน และเป็นที่รู้จักในกลุ่มลูกค้าทั่วโลก มีฐานะการเงินและผลการดำเนินงานที่ดีมาโดยตลอด
ดังนั้นมั่นใจได้ว่าบริษัทจะได้รับประโยชน์จากการประสานความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างกันในอนาคต เช่น ฐานลูกค้า ช่องทางการจัดจำหน่าย วัตถุดิบ และการผลิต และยังจะสามารถใช้เป็นช่องทางส่งเสริม แบรนด์รอยัลไทย ซึ่งเป็นแบรนด์ที่บริษัทสร้างเองเพื่อนำไปสู่การเป็นแบรนด์ระดับโลกในอนาคต
ผลิตภัณฑ์พรมเพื่อการพาณิชย์ ที่ซื้อมาประกอบด้วย พรมแอ็กซ์มินสเตอร์ พรมทอเครื่อง และ พรมทอมือ เพื่อจำหน่ายให้ลูกค้าโครงการใหญ่ ๆ อาทิ โรงแรม คาสิโน หอประชุม และเรือสำราญขนาดใหญ่ และ ผลิตภัณฑ์พรมแผ่น สำหรับลูกค้าอาคารสำนักงาน
สำหรับแบรนด์ที่จะใช้ในการขายพรมหลังการควบรวมกิจการในครั้งนี้ บริษัทตัดสินใจที่มุ่งทำการตลาดโดยชูแบรนด์ รอยัลไทยและคาร์เปทอินเตอร์ ซึ่งเป็นแบรนด์ของคนไทย เพื่อใช้เจาะตลาดทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทย โดยบริษัทจะเลิกใช้แบรนด์ไทปิงที่ถือลิขสิทธิ์ในประเทศไทยมาตลอดระยะเวลา 50 ปี
ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร เผยต่อว่า บริษัทต้องการที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้เกิดกับแบรนด์ รอยัลไทย ที่ได้สร้างมาเอง เพื่อให้เป็นที่ยอมรับและรู้จักไปทั่วโลก ทั้งในเรื่องคุณภาพการผลิตและจุดแข็งของแบรนด์ที่มีมาอย่างช้านาน สะท้อนถึงความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมพรม และจะทำให้แบรนด์ รอยัลไทย เป็นแบรนด์ระดับโลก ที่ทุกคนยอมรับในคุณภาพที่เป็นเลิศ การออกแบบและความหลากหลาย
โดยแผนงานดำเนินธุรกิจหลังจากควบรวมกิจการ Commercial Carpet Business บริษัทมีแผนจะขยายฐานลูกค้าและช่องทางการจัดจำหน่ายให้มากขึ้น และโดยบริษัทจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากเดิมมาก จึงช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพ ทำให้ธุรกิจมีต้นทุนต่อหน่วยที่ลดลงจากการขยายขนาดการผลิตที่มากขึ้น เช่น การซื้อวัตถุดิบในราคาที่ถูกลง หรือการใช้เครื่องจักรในการผลิตให้เต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น