ท่าอากาศยานไทย รับรางวัลรายงานความยั่งยืนดีเยี่ยม ประจำปี 2561 กางแผนระดมทุนกว่า 4 หมื่นล้านบาท พัฒนาสนามบินหวังรองรับการเติบโตของนักท่องเที่ยว
บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เจ้าของรางวัลรายงานความยั่งยืน ประจำปี 2561 ประเภทรางวัลดีเยี่ยม ประจำปี 2561 เปิดแผนลงทุนตามแผนแม่บทสนามบินและรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิระยะที่2,3 และ4 และโครงการลงทุนใน 4 สนามบินเมืองรอง เพื่อรองรับการเติบโตของนักท่องเที่ยว
นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เปิดเผยว่า ขณะนี้ทาง ทอท.มีแผนโครงการลงทุนตามแผนแม่บทสนามบินตามนโยบายของรัฐบาล ได้แก่โครงการพัฒนาสุวรรณภูมิระยะที่2,3 และ 4 ใช้เงินลงทุนจำนวนหลายหมื่นล้านบาท
รวมถึงโครงการก่อสร้างสนามบินเชียงใหม่และภูเก็ตแห่งที่ 2 ที่ก่อนหน้านี้ได้มีการเสนอคณะกรรมการทอท.เพื่อของบประมาณลงทุนประมาณจำนวน 125,000 ล้านบาท และโครงการลงทุนใน 4 สนามบินเมืองรองที่ขอรับโอนย้ายมาจากกรมท่าอากาศยานวงเงินลงทุนประมาณ 3,500 ล้านบาท ซึ่งได้แก่สนามบินอุดรธานี 1,500 ล้านบาท และสนามบินสกลนคร สนามบินชุมพร และสนามบินตาก ใช้เงินลงทุนรวมกันราว 2,000 ล้านบาท
กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. เปิดเผยเพิ่มเติมว่า การเร่งลงทุนพัฒนาสนาบินเพื่อรองรับปริมาณการเติบโตของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาใช้บริการนั้นส่งผลให้กระแสเงินสดที่มีอยู่ขณะนี้ไม่เพียงพอต่อมูลค่าการลงทุน และในช่วง 5 ปีนับจากนี้จะต้องมีการลงทุนพัฒนาสนามบินโดยใช้งบประมาณ 270,000 ล้านบาท
เบื้องต้น ทอท.คาดว่าจะขาดสภาพคล่องรวมประมาณ 50,000 ล้านบาท แบ่งเป็นปี 2564 รวมประมาณ 40,000 ล้านบาท และปี 2565 ประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยอาจจะใช้วิธีการกู้เงินเพื่อเข้ามารองรับการขาดสภาพคล่องดังกล่าว ซึ่งจะต้องมีการหารืออีกครั้งว่าจะใช้แนวทางดำเนินการอย่างไรต่อไป
อย่างไรก็ตามปัจจุบันทอท.มีกระแสเงินสดประมาณ 65,000 ล้านบาท และเฉลี่ยแต่ละปีจะมีเงินสดเข้ามาปีละ 30,000 ล้านบาท โดยในช่วงระหว่างปี 2561-2565 ทอท.จะมีกระแสเงินสดทั้งหมดประมาณ 220,000 ล้านบาท จึงส่งผลให้ขาดสภาพคล่องตามจำนวนดังกล่าว
ทั้งนี้ทอท.ระบุว่าคาดการณ์ว่าในช่วงกลางปี 2563 ความแออัดภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมินั้นจะหมดไปเมื่อมีการเปิดใช้อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่1 (อาคารแซทเทิลไลท์)
ซึ่งจะสามารถลดปริมาณความแออัดภายในอาคารผู้โดยสารหลักลงได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์
นอกจากนี้ยังมีโครงการดำเนินการเร่งด่วนคือ
เตรียมก่อสร้างอาคารอเนกประสงค์เพื่อใช้เป็นที่พักคอยสำหรับผู้โดยสารที่เดินทางเป็นกลุ่มในเส้นทางระหว่างประเทศ
เพื่อลดความหนาแน่นของผู้โดยสารในอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ อาคาร 1
ซึ่งอาคารดังกล่าวเป็นอาคาร 2 ชั้น แบ่งเป็น ชั้น 1 สำหรับจอดรถบัส และชั้น 2
สำหรับเป็นพื้นที่พักคอยผู้โดยสารที่เดินทางเป็นกลุ่มในเส้นทางระหว่างประเทศ
โดยจะดำเนินการก่อสร้างบริเวณลานจอดรถบัสระหว่างอาคารสำนักงาน
ทดม.และอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ อาคาร 1
“หลังจากนี้จะดำเนินโครงการพัฒนาทภก.ระยะที่ 2 ให้แล้วเสร็จในปี 2565 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารได้เป็น 18 ล้านคนต่อปี ส่วนโครงการพัฒนา ทชม. ทชร.และ ทหญ. ทอท.จะเร่งดำเนินการตามแผนงานต่อไป”
นายนิตินัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีนี้จะเป็นก้าวย่างที่สำคัญสำหรับองค์กรที่จะปรับรูปแบบการให้บริการการพาณิชย์และการบริหารงานภายในองค์กรรวมถึงการเชื่อมโยงการทำงานกับองค์กรอื่นขึ้นไปอยู่บนโลกเสมือนจริงโดยการปรับตัวครั้งใหญ่ของทอท.ไปสู่ยุค Thailand 4.0
ระบบการตัดสินใจในการบริหารท่าอากาศยานร่วมระหว่างหน่วยงาน (Airport Collaborative Decision Making : A-CDM) และการพัฒนา AOT Application ที่จะช่วยการอำนวยความสะดวกผู้โดยสารในรูปแบบต่างๆตลอดจนการส่งเสริมกิจกรรมเชิงพาณิชย์ของผู้ประกอบการในท่าอากาศยาน โดยเฉพาะร้านเล็กๆ ที่มีผลต่อเศรษฐกิจชุมชน ฯลฯ ซึ่งฐานลูกค้าใน Digital Platform ที่คาดว่าจะมีจำนวนมากตามจำนวนผู้โดยสารที่ใช้บริการท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งนั้น นอกจากจะทำให้การให้บริการของ ทอท.มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นแล้ว ยังจะเป็นปัจจัยสำคัญในการต่อยอดการพัฒนา Thailand 4.0 ของรัฐบาลในมิติต่างๆ ต่อไป
ล่าสุดบริษัทเข้ารับรางวัลรายงานความยั่งยืนประจำปี 2561 ประเภทรางวัลดีเยี่ยม ในการจัดโครงการประกาศรางวัลรายงานความยั่งยืน หรือ Sustainability Report Award 2018 จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีนางสาวพิชาจรัส เพ่งพินิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่(สายเลขานุการบริษัท) เป็นผู้แทนรับมอบรางวัล จากนางอรนุช อภิศักดิ์ศิริกุล นายกสมาคมบริษัทจดทะเบียน
ทั้งนี้ โครงการประกาศรางวัลรายงานความยั่งยืน ประจำปี 2561 มีบริษัทส่งรายงานเข้ารับการพิจารณารางวัล จำนวนทั้งสิ้น 100 บริษัท ซึ่ง ทอท.ได้ส่งรายงานความยั่งยืนเข้าประกวดทุกปี ตั้งแต่ฉบับปีงบประมาณ 2556 และได้รับรางวัลดีเยี่ยม ตั้งแต่ปี 2559 – 2561