กฟผ.เป็นรัฐวิสาหกิจการพลังงานภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงพลังงาน ดำเนินธุรกิจหลักในการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ กฟน.กฟภ.โรงไฟฟ้าของ กฟผ.ตั้งอยู่ทุกภูมิภาคของประเทศรวมจำนวนทั้งสิ้น 40 แห่ง มีกำลังผลิตรวมทั้งสิ้น 15,010.13 เมกะวัตต์ ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าหลายประเภท ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังความร้อน 3 แห่ง โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 6 แห่ง โรงไฟฟ้าพลังน้ำ 22 แห่ง โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 8 แห่ง และโรงไฟฟ้าดีเซล 1 แห่ง มีการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างเป็นระบบไม่กระทบสิ่งแวดล้อม สามารถการันตรีได้จากรางวัลที่ได้รับทั้ง 9 รางวัล ในปี 2559 ที่ผ่านมาซึ่งแสดงถึงความใส่ใจและการจัดการสภาพแวดล้อมดีเด่น และเข้ารับรางวัลจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ว่าที่พันตรี อนุชาต ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการชุมชนสัมพันธ์และสิ่งแวดล้อมโครงการ กฟผ. เปิดเผยว่า กฟผ. ได้รับการคัดเลือกให้เข้ารับรางวัลสถานประกอบการที่ปฏิบัติตามมาตรการในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมีการจัดการสภาพแวดล้อมดีเด่นประจำปี 2559 หรือ EIA Monitoring Awards 2016จำนวน 9 รางวัล
ทั้ง 9 รางวัลมาจากโครงการต่างๆ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนกระบี่ โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ 1 โรงไฟฟ้าพลังความร้อนพระนครใต้ ชุดที่ 3 โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมบางปะกง ชุดที่ 5 โรงไฟฟ้าจะนะ (กรณีใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิง) เหมืองแร่ลิกไนต์ จังหวัดลำปาง ระบบขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทางท่อ สำหรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนกระบี่ ท่าเทียบเรือขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนกระบี่ และท่าเทียบเรือและอุปกรณ์ขนส่งน้ำมันสำหรับโรงไฟฟ้าบางปะกง
“การรับรางวัล EIA Monitoring Awards 2016 ของ กฟผ. ในปี 2559 ทั้ง 9 รางวัล ได้แสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติตามมาตรการในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมีการจัดการสภาพแวดล้อมดีเด่น ประจำปี 2559 ในทุกๆด้าน ทั้งด้านอากาศ เสียง การติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำ การลดก๊าซเรือนกระจก กิจกรรมด้านสังคมชุมชน ตลอดจนการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่ง กฟผ. ให้ความสำคัญ ควบคู่กับการผลิตไฟฟ้าเพื่อความสุขของคนไทย ตลอดมาและตลอดไป”
ว่าที่พันตรี อนุชาต กล่าวปิดท้ายว่า กฟผ.ขอยืนยันว่าได้ให้ความสำคัญกับการผลิตไฟฟ้าควบคู่กับการดูแลด้านสิ่งแวดล้อมตลอดมาและตลอดไป ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นและไว้วางใจ กฟผ.ว่าเป็นหน่วยงานที่ทำงานเพื่อให้คนไทยทุกคนมีไฟฟ้าใช้อย่างมีความสุขควบคู่กับการดูแลสังคมและชุมชนให้อยู่ดีมีสุขตลอดไป และขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่มีส่วนร่วมในครั้งนี้ด้วย
นอกจากนี้ กฟผ.ได้ส่งมอบโครงการเปลี่ยนอุปกรณ์แสงสว่าง LED เฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีแก่สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริโดยสามารถสร้างผลสำเร็จด้วยการเปลี่ยนและติดตั้งหลอดไฟฟ้า LED ภายในศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ,ศูนย์สาขาและอาคารสำนักงานกปร.และมูลนิธิชัยพัฒนา จำนวน 20,674 หลอด สามารถลดการใช้พลังงานไฟฟ้าให้กับประเทศได้กว่า1.6 ล้านหน่วยต่อปี หรือปีละประมาณ 6.5 ล้านบาท และลด CO2 ได้ 835 ตันต่อปี
นายกรศิษฏ์ ภัคโชตานนท์ ผู้ว่าการกฟผ. เผยว่ากฟผ.ได้ดำเนินงานการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้าเพื่อรณรงค์ให้ผู้ใช้ไฟฟ้าทุกภาคส่วนเกิดจิตสำนึกในคุณค่าของพลังงาน อาทิ โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 และโครงการส่งเสริมการใช้อุปกรณ์แสงสว่าง LED ซึ่งจากการดำเนินงานรณรงค์ประหยัดพลังงานของกฟผ.จนถึงปัจจุบันสามารถลดปริมาณกำลังไฟฟ้าในระบบลงกว่า 4,250 เมกะวัตต์ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้ 14.5 ล้านตัน
“กฟผ.จะร่วมกับสำนักงาน กปร. ดำเนินการรณรงค์ส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ รวมถึงเผยแพร่ความรู้ในเรื่องของการประหยัดพลังงานและความเข้าใจที่ถูกต้องในการใช้หลอด LED เบอร์ 5 ให้กับประชาชนทั้งในพื้นที่และผู้ที่เข้าเยี่ยมชมศูนย์ฯ อย่างต่อเนื่อง” นายกรศิษฏ์ กล่าว