กรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สถาปนาครบรอบ 17 ปี มุ่งมั่นผลิตและกระจายเมล็กพันธุ์ดีสู่ชาวนา ยกระดับประสิทธิภาพการผลิตข้าวให้มีคุณภาพ สร้างราคาข้าวเปลือกให้สูงขึ้น สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้
นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 17 ปีที่ผ่านมา กรมการข้าวมุ่งมั่นผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดีให้ชาวนา ตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ให้ความสำคัญกับชาวนาเป็นอย่างมาก จึงได้มอบหมายให้กรมการข้าวดำเนินนโยบายช่วยเหลือชาวนาผู้ปลูกข้าว ให้มีชีวิตที่ดีขึ้น ผ่านโครงการส่งเสริมการเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ข้าวปี 2566 ที่มุ่งเน้นให้ชาวนาเปลี่ยนมาใช้เมล็ดพันธุ์ดีในการเพาะปลูก เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการผลิตข้าวให้มีคุณภาพ และได้ปริมาณที่มากขึ้น ชาวนาสามารถจำหน่ายข้าวเปลือกได้ในราคาที่สูงขึ้น และสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้
ปีนี้เป้าหมายการเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ข้าวอยู่ที่ 58,700 ตัน และคาดว่าจะดำเนินโครงการส่งเสริมการเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ข้าว ต่อเนื่องกัน 3 ปี สำหรับเกษตรกรท่านใดที่ปีนี้คุณสมบัติตกหล่นหรือไม่เข้าข่ายยังมีโอกาส ได้เข้าร่วมโครงการในปีถัดไป ให้รีบดำเนินการตรวจสอบการขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตรเพื่อรักษาสิทธิ์ต่างๆและเพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพในการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว
อธิบดีกรมการข้าว กล่าวถึงการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ข้าวปี 2566 ว่า ในขณะนี้โครงการยังเปิดรับสมัครให้ชาวนาที่สนใจยังสามารถเข้าร่วมโครงการได้ โดยกรมการข้าวมีเป้าหมายในการรับสมัครชาวนาที่จะเข้าร่วมเข้าโครงการจำนวน 205,965 ราย พื้นที่เป้าหมาย 3,913,333 ไร่ ซึ่งในขณะนี้มีชาวนามาสมัครเข้าร่วมโครงการแล้วจำนวน 56,394 ราย พื้นที่ 714,469.21 ไร่ นอกจากนั้นกรมการข้าวยังได้ดำเนินการขายเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีให้กับชาวนาที่เข้าร่วมโครงการไปแล้วจำนวน 10,825,690 ตัน จากจำนวนเป้าหมาย 58,700 ตัน
สำหรับราคาเมล็ดข้าวคุณภาพดีที่กรมการข้าวจะขายให้กับชาวนาที่เข้าร่วมโครงการฯในราคาถูก แบ่งเป็น ข้าวขาวหอมมะลิ 105 กข15 ขายในราคากิโลกรัมละ 5 บาท ข้าวเหนียวและข้าวปทุมธานี1 กิโลกรัมละ 4 บาท และข้าวขาวกิโลกรัมละ 3 บาท
ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อขอสมัครเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ข้าวปี 2566 ได้ที่ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวทั่วประเทศ หรือศูนย์ข้าวชุมชน สำนักงานเกษตรจังหวัดและสำนักงานเกษตรอำเภอใกล้บ้านท่าน และผู้นำชุมชน อีกทั้งชาวนาที่สนใจสามารถรวมกลุ่มกันภายในชุมชน โดยเจ้าหน้าที่จากศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวจะเดินทางไปรับสมัครถึงที่เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องชาวนา
“จุดอ่อน สำคัญอย่างหนึ่งของชาวนาไทยคือการเข้าถึงเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพ เพราะแม้กรมการข้าวจะมีงานวิจัยและพัฒนาเมล็ดพันธุ์ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็มีข้อจำกัดเรื่องการกระจายเมล็ดพันธุ์ไปให้ถึงมือเกษตรกร ซึ่งตามหลักวิชาการที่ถูกต้องแล้วเกษตรกรควรเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ทุกๆ 3 ปี เพราะเมื่อเกินจากนั้นเมล็ดพันธุ์ก็จะมีคุณภาพด้อยลง โดยความต้องการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวทั่วประเทศอยู่ที่ประมาณ 7-7.5 แสนตัน”อธิบดีกรมการข้าว กล่าว
ในปี 2565 ที่ผ่านมา กรมการข้าว เปิดตัวเมล็ดพันธุ์ 4 สายพันธุ์ ได้แก่ กข93 (พุ่มพวงเมืองสองแคว), กข95 (ดกเจ้าพระยา), กช97 (หอมรังสิต) และ กข101(ทุ่งหลวงรังสิต) ซึ่งเกษตรกรมีความต้องการข้าวพันธุ์ กข95 สูงมาก ซึ่งคาดว่าจะสามารถส่งเมล็ดพันธุ์ถึงมือเกษตรกรได้อย่างเต็มที่หลังจากเดือนเม.ย. 2566 เป็นต้นไป เนื่องจากที่ผ่านมา กรมการข้าวสามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ในชั้นเมล็ดพันธุ์ขยายได้ราว 4-5 พันตัน แต่ยังไม่นำออกจำหน่ายในทันทีเพราะต้องการให้นำไปขยายเพื่อให้ได้จำนวนเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าจะได้เมล็ดพันธุ์ถึง 1 หมื่นตัน เพื่อให้ประชาชนมีโอกาสเข้าถึงได้มากขึ้น โดยข้าวพันธุ์ กข95 นั้นให้ผลผลิตต่อไร่ค่อนข้างสูงและใช้เวลาปลูกไม่นานเมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่นๆ ก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม สำหรับข้าวที่อายุการเก็บเกี่ยวเร็วนั้นก็ต้องอาศัยการดูแลรักษาอย่างมีวินัยพอสมควร เพราะการตอบสนองของข้าวต่อปุ๋ยจะค่อนข้างเร็วใช้ระยะเวลาค่อนข้างจำกัด ดังนั้นการเตรียมพื้นที่ปลูกจึงต้องทำให้ดี หากปล่อยปละละเลยผลผลิตที่ได้ก็จะต่ำลง
อธิบดีกรมการข้าว ยังกล่าวอีกว่า ในส่วนของการวิจัยพันธุ์ข้าว เพิ่งได้งบประมาณจากรัฐบาลมา 1,256 ล้านบาท เพื่อให้ปรับปรุงศูนย์วิจัยซึ่งขาดการปรับปรุงมานานถึง 40 ปี เครื่องมือที่มีอยู่เป็นของเก่าสมัยที่โอนย้ายมาจากกรมวิชาการเกษตร หากแล้วเสร็จการวิจัยพันธุ์ข้าว ซึ่งถือเป็น ต้นน้ำ ก็จะทำได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการผลิตเมล็ดข้าว ซึ่งเป็นกลางน้ำ ที่ก็เพิ่งได้รับงบประมาณมาเมื่อปี 2565 จากเงินกู้ฟื้นฟูเศรษฐกิจช่วงโควิด และ ปลายน้ำ คือศูนย์ข้าวชุมชนทั่วประเทศจำนวน ราว 6,500 แห่ง