กลุ่มบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) คว้ารางวัลสถานประกอบกิจการต้นแบบดีเด่นด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานประจำปี 2562 ติดต่อกันยาวนานที่สุด อัดงบลงทุนระยะ 5 ปี มูลค่า กว่า 167,114 ล้านบาท
บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) หรือ PTT ผู้ประกอบธุรกิจก๊าซธรรมชาติและน้ำมันปิโตรเลียม เข้ารับรางวัลสถานประกอบกิจการต้นแบบดีเด่นด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ประจำปี 2562 พร้อมประกาศอัดงบประมาณช่วง 5 ปี ระหว่างปี 2562 -2566 รวม 167,114 ล้านบาท
กลุ่ม ปตท.ในฐานะรัฐวิสาหกิจและบริษัทเอกชนรายใหญ่ของประเทศประกาศอัดงบลงทุนในช่วง 5 ปี ระหว่างปี2562-2566 รวม 167,114 ล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนตามแผนงานที่วางไว้ ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในธุรกิจก๊าซธรรมชาติถึง 45 เปอร์เซ็นต์ของงบลงทุนมีทั้งการลงทุนสถานีรับจ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว ขนาด 7.5 ล้านตันต่อปี โครงการท่อก๊าซฯ เส้นที่ 5 เป็นต้น
สำหรับปีนี้บริษัทวางงบลงทุนถึง 7 หมื่นล้านบาท และยังกันงบพิเศษเพื่อการลงทุนในอนาคต187,616 ล้านบาท ซึ่งวางแผนไว้ลงทุนธุรกิจ New S-Curve รวมทั้งโครงการการลงทุนที่ไม่อยู่ในแผนงาน พร้อมทั้งสั่งให้บริษัทลูกมองหาโอกาสการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย 10 อุตสาหกรรมที่รัฐให้การส่งเสริมในพื้นที่อีอีซียื่นเสนอมาให้คณะกรรมการบริษัทฯอนุมัติโดยด่วน เนื่องจากกลุ่ม ปตท.มีฐานธุรกิจหลักอยู่ในภาคตะวันออก โดยเฉพาะมาบตาพุด จ.ระยอง ที่เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สอง
อย่างไรก็ตาม จากนโยบายส่งเสริมการลงทุนในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกที่ระยะแรกกำหนด 3 จังหวัด คือ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา เพื่อรองรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ เป็นโอกาสดีที่ ปตท.จะเร่งขยายการลงทุนเพิ่มเติมต่อยอดในธุรกิจปัจจุบันที่ดำเนินการอยู่ รวมทั้งหาธุรกิจใหม่ เพื่อสร้างการเติบโตให้กลุ่มบริษัทอย่างยั่งยืนในอนาคต ส่วนแหล่งเงินทุนไม่ใช่ปัญหาเฉพาะ ปตท.ก็มีเงินตุนอยู่ในกระเป๋าถึงแสนล้านบาท ไม่รวมบริษัทลูกๆขอแค่เป็นโปรเจกต์ดี ผลตอบแทนเหมาะสม และมีพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ ทางกลุ่ม ปตท.ก็พร้อมที่จะลงทุนได้ทันที
ขณะที่ภาครัฐก็ส่งสัญญาณให้ ปตท.เข้ามามีบทบาทสำคัญในฐานะผู้ลงทุน หวังเป็นแม่เหล็กดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชนของไทยและต่างชาติเข้ามา ทำให้กลุ่ม ปตท.เป็นบริษัทไทยรายอันดับต้นๆ ที่ประกาศตัวลงทุนในอีอีซีด้วยวงเงินกว่า 3 แสนล้านบาท และทยอยลงทุนอย่างเป็นรูปธรรม
นับตั้งแต่การพัฒนาพื้นที่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจ (EECi) บนพื้นที่ 3,500 ไร่ โดย ปตท.มีการก่อตั้งโรงเรียนกำเนิดวิทย์ (KVIS) และสถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) ในพื้นที่วังจันทร์วัลเลย์ จ.ระยอง ที่สนับสนุนการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี เพื่อให้เกิดนวัตกรรม โดยคณะกรรมการบริษัท ปตท.ได้อนุมัติการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน EECi ระยะแรกวงเงิน 2,500 ล้านบาท ซึ่งจะการก่อสร้างอาคาร สาธารณูปโภคถนน ไฟฟ้า ฯลฯ พัฒนาให้ EECi เป็นเมืองอัจฉริยะ (สมาร์ทซิตี้) รองรับการเป็นศูนย์กลางงานวิจัยด้านเทคโนโลยี วัสดุ พลังงานทดแทน และดิจิทัล มีการทำโรดโชว์เพื่อดึงสถาบันชั้นนำในต่างประเทศเพื่อเข้ามาใช้พื้นที่ EECi ในการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมใหม่ด้วย
นอกจากนี้ในช่วงปลายปี ปตท. มีกระบวนการสรรหาซีอีโอคนใหม่ เพื่อแทนนายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ที่จะหมดวาระในเดือนพฤษภาคม ปี 2563 โดยนายชาญศิลป์ เปิดเผยว่า ได้มีการพูดคุยกับผู้บริหารปตท.ที่มีคุณสมบัติแล้ว ให้เตรียมตัวพร้อมมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อยื่นสมัครเป็นซีอีโอ และเข้ากระบวนการสรรหา เพราะตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งสำคัญ และมีกระบวนการสรรหาที่ต้องใช้เวลา โดยต้องเผื่อเวลา 3-4 เดือนเป็นอย่างน้อย เพื่อส่งเรื่องให้กระทรวงพลังงาน และกระทรวงการคลังพิจารณาสัญญาจ้างด้วย ดังนั้นกระบวนการต้องเริ่มปลายไตมาส 4 ไม่เกินต้นไตรมาส 1 ของปี 2563
“การสรรหาตำแหน่งซีอีโอเป็นเรื่องสำคัญ ก็ต้องเตรียมผู้บริหารระดับสูงที่มีคุณสมบัติให้พร้อม สุดท้ายก็ต้องได้คนดีที่สุด ดูแลทุกภาคส่วน เสียสละและทำงานเป็นที่ยอมรับ แต่จะเป็นไรอยู่ที่กรรมการ ตนขอสงวนสิทธิในการออกเสียง ”
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีการแต่งตั้งประธานกรรมการสรรหา แต่ก็มีการคาดการณ์ผู้ที่มีคุณสมบัติเข้าสู่เส้นทางซีอีโอปตท. ส่วนหนึ่งเป็นผู้บริหารคนเก่าที่สมัครเป็นซีอีโอในรอบที่แล้ว ดังนี้ นายนพดล ปิ่นสุภา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) นายอธิคม เติบศิริ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้น และก๊าซธรรมชาติ ปตท. นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) และนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย ปตท