นายอิสระ อรดีดลเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์กรลงทุน สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มจะเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงเล็กน้อย หลังจากเติบโตดีมากในไตรมาส 1/2560 เห็นได้จากสัญญาณการชะลอตัวลงในสหรัฐฯ และจีน
อย่างไรก็ดี โมเมนตัมการเติบโตที่ชะลอตัวลงในสหรัฐคาดว่าจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเมื่อพิจารณาจากตลาดแรงงานที่อยู่ในภาวะแข็งแกร่ง และสัญญาณการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศในระยะหลังนี้ สถานการณ์เช่นนี้ทำให้มีแนวโน้มสูงที่ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด จะสามารถคงแนวโน้มการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น รวมถึงการเริ่มปรับลดขนาดงบดุลลงตามที่ได้ส่งสัญญาณไว้ก่อนหน้า ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจจากยูโรโซนยังคงดูสดใส และคาดว่าจะมีโมเมนตัมเชิงบวกที่แข็งแกร่งจากการใช้จ่ายอุปโภคบริโภคและการลงทุน โดยความไม่แน่นอนทางการเมืองในยูโรโซนไม่ได้เป็นปัจจัยคุกคามสำคัญต่อแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซนอีกต่อไป
SCBS ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มแข็งแกร่งมากขึ้น แม้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังไม่ได้เกิดขึ้นในวงกว้าง อย่างไรก็ตามโมเมนตัมการเติบโตในปัจจุบันปรับตัวดีขึ้นในอัตราที่น่าพอใจโดยที่เศรษฐกิจไทยนั้นขยายตัวแข็งแกร่งกว่าคาดในไตรมาส 1/2560 กระตุ้นให้สำนักวิจัยต่างๆ เริ่มปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสำหรับปีนี้และปีหน้า ปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจเติบโตยังคงเป็นการใช้จ่ายอุปโภคบริโภค การลงทุนภาครัฐ รวมถึงการส่งออกสินค้าและบริการ อย่างไรก็ตามการฟื้นตัวของปัจจัยดังกล่าวในปัจจุบันยังไม่เพียงพอที่จะลดกำลังการผลิตส่วนเกินลงสู่ระดับที่กระตุ้นให้เกิดการลงทุนภาคเอกชนรอบใหม่
การที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทยนั้นเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ มาตั้งแต่ช่วงต้นปีท่ามกลาง EPS ที่ปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ valuation ของตลาดไทยไม่ได้แพงอีกต่อไป เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต และเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ ในภูมิภาค SCBS คาดว่า ตลาดจะปรับตัวขึ้นได้ในกรอบแคบๆ ในไตรมาส 3/60 โดยชื่นชอบกลุ่มหรือหุ้น laggardที่มีปัจจัยเฉพาะตัวสนับสนุนให้กำไรเติบโต
หุ้น Top Picks ประจำไตรมาส 3/2560 เมื่ออิงกับการคัดเลือกหุ้น laggard และมุมมองแบบ Bottom-up จากนักวิเคราะห์ของ SCBS ทำให้บริษัทเลือกหุ้นในกลุ่มการแพทย์ พลังงาน และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เป็น อุตสาหกรรมเด่นสำหรับไตรมาส 3/60 ซึ่งประกอบด้วยบริษัท BDMS, CHG, IRPC, KCE, PTT, และ SVI โดยแต่ละตัวมีไฮไลท์ โดยสรุปดังนี้
- บมจ. กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS): ราคาหุ้นร่วงแรงเกินไปจากกำไรที่ชะลอตัวลงในไตรมาส 1/2560 Core EPSจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้จากการควบคุมต้นทุน ตามด้วยการขยายตัว 20 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2561 จากผลการดำเนินงานโรงพยาบาลเดิมที่ดีขึ้นและโรงพยาบาลใหม่ที่ขาดทุนลดลง
- บมจ. โรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG): ราคาปรับตัวลงลึกจากการชะลอตัวของผู้ป่วยเงินสดในไตรมาส 1/2560 Core EPS มีแนวโน้มดีขึ้นจากการปรับเพิ่มอัตราเหมาจ่ายรายหัวในระบบประกันสังคม (ไตรมาส 3/2560) และจะขยายตัวได้ 31เปอร์เซ็นต์ในปีหน้า
- บมจ. ไออาร์พีซี (IRPC): ราคาหุ้น IRPC ลดลงมาแล้ว 11 เปอร์เซ็นต์ จากกลางเดือน เม.ย. เทียบกับหุ้นโรงกลั่นตัวอื่นๆที่ราคาลดลง -2เปอร์เซ็นต์ ถึง -5เปอร์เซ็นต์ GRM น่าจะปรับตัวดีขึ้น ในภาวะราคาน้ำมันต่ำและความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น
- บมจ. เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ (KCE): หุ้น laggard Play ในอุตสาหกรรมที่อยู่ในวัฏจักรขาขึ้น กำไรมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในครึ่งหลังของปีและขยายตัวได้ 34เปอร์เซ็นต์ ในปี 2561 จากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากอุตสาหกรรมรถยนต์ และต้นทุนทองแดงที่ดีขึ้น
- บมจ. ปตท. (PTT): ราคาหุ้น PTT ที่ลดลงมาแล้ว 10เปอร์เซ็นต์ จากยอดสูงเดือน ม.ค. 2560 น่าจะเป็นโอกาสซื้อ SCBS ชื่นชอบที่บริษัททำธุรกิจแบบครบวงจรและมีสัดส่วนกำไรจากธุรกิจที่มีเสถียรภาพอย่างสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้น
- บมจ. เอสวีไอ (SVI): ราคาหุ้นพลาดโอกาสในการวิ่งขึ้นพร้อมกับกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ในช่วงที่ผ่านมา เพราะอยู่ในกระบวนการควบรวมกิจการหลังจากเข้าซื้อกิจการครั้งใหญ่ในยุโรป กำไรจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในครึ่งปีหลัง เมื่อรับรู้ประโยชน์จากการควบรวมกิจการ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้กำไรเติบโต 61เปอร์เซ็นต์ ในปี 2560 และ 21เปอร์เซ็นต์ ในปี 2561