“พีแอนด์จี ประเทศไทย ครบรอบ30 ปี” ประกาศกร้าวเป็นฮับผลิตภัณฑ์ความงามในเอเชีย

บริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ในโอกาสสรุปผลงานครบรอบ 30ปี ประกาศความมุ่งมั่นที่จะส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพ เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยและเติบโตเคียงข้างสังคมไทย พร้อมจับมือพันธมิตรทางธุรกิจพัฒนากระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตอกย้ำฐานการผลิตที่มีกำลังการผลิตที่มากที่สุดอันดับหนึ่งในเอเชีย

นางจุฑาภัทร บุณย์วงศกร กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ “พีแอนด์จี” กล่าวถึงแผนดำเนินธุรกิจ ว่า บริษัทวางเป้าหมายที่จะผลักดันให้ “พีแอนด์จี ประเทศไทย” ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตผลิตภัณฑ์ความงาม (Skin Care) ในด้านการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มคุณภาพผลิตภัณฑ์เป็นอันดับ 1 ภายใน 2-3 ปี จากปัจจุบันที่เป็นอันดับ 2 รองจากประเทศจีน หลังจากที่ได้ย้ายฐานการผลิตโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์เส้นผม (Hair Care) จากประเทศเวียดนามมารวมกับประเทศไทยเมื่อช่วงเดือน ตุลาคม 2559 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ปัจจุบัน “พีแอนด์จี ประเทศไทย” สามารถเพิ่มกำลังการผลิตจากเดิมได้มากกว่า 10%

โรงงานการผลิตของบริษัทมีพื้นที่ 9.6 หมื่นตารางเมตร ถือเป็นศูนย์กลางการผลิตผลิตภัณฑ์ความงามและผลิตภัณฑ์เส้นผมเพื่อจำหน่ายภายในประเทศ และส่งออกมากกว่า 20 ประเทศทั่วโลก โดยเน้นตลาดหลักๆ คือ ญี่ปุ่น ซึ่งให้ความสำคัญเรื่องมาตรฐานและคุณภาพผลิตภัณฑ์สูง จนผลิตภัณฑ์ของ “พีแอนด์จี ประเทศไทย” ได้รับการยอมรับว่าเป็น “Japan Products Made in Thailand” โดยปัจจุบันมีการส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่นมากถึง 30% ส่วนที่เหลือเป็นกลุ่มประเทศอาเซียน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ตะวันออกกลาง

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเป็นฐานการผลิตที่มีกำลังการผลิตที่มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในเอเชีย และเป็นอันดับ 3 ของ “พีแอนด์จี” ทั่วโลก รองจากสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศส ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา “พีแอนด์จี” มีการลงทุนภายในนิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์ จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นจำนวนเงินสูงเทียบเท่ากับการเปิดโรงงานใหม่ 1 แห่ง เน้นการลงทุนด้านนวัตกรรมเพื่อการผลิต รวมถึงเทคโนโลยีเพื่อประหยัดค่าน้ำและค่าไฟฟ้า รวมถึงลดของเสียและป้องกันปัญหามลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้ บริษัทฯ จะมีการลงทุนเฉลี่ยทุกๆ 5 ปี ก่อนจะมีการลงทุนใหญ่ทุก 10 ปี โดยในส่วนของ พีแอนด์จี ประเทศไทย นั้น ปัจจุบันถือว่ามีความสามารถด้านลดต้นทุนด้านต่างๆ ได้มากกว่า 30% ถือเป็นอันดับ 1 ในเอเชีย ทั้งยังมีของเสียในกระบวนการผลิตไม่เกิน 2% แต่มีประสิทธิภาพการผลิตสูงถึง 95% ทั้งที่ก่อตั้งโรงงานมาเป็นเวลา 21 ปีจากเวลา 30 ปีที่ดำเนินงานในประเทศไทย เมื่อเทียบกับโรงงานอุตสาหกรรมทั่วไปที่มีระยะเวลาก่อตั้งเท่ากันจะมีประสิทธิภาพการผลิตประมาณ 75-80%

“พีแอนด์จี” มีศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ 3 แห่ง คือ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ โดยให้ความสำคัญตลาดเอเชียมาก เนื่องจากประชากรในเอเชียมีกำลังซื้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากตัวเลขในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันอุตสาหกรรมความงามของประเทศไทยถือเป็นอันดับ 3 รองจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ แต่เมื่อเทียบกับกับศักยภาพและคุณภาพ รวมทุนต้นทุนค่างแรงงานของไทยแล้วถือเป็นอันดับ 1 สูงกว่าเวียดนามและจีน จากอดีตที่มีคู่แข่งสำคัญคือมาเลเซียและอินโดนีเซีย

นางจุฑาภัทร กล่าวทิ้งท้าย “แม้ว่าประเทศไทยจะมีข้อได้เปรียบด้านศักยภาพการผลิต แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ ต้นทุนการผลิตโดยเฉพาะค่าไฟฟ้าซึ่งจะมีการปรับขึ้นค่า FT อีกครั้งเมื่อเดือนพฤษภาคม 2560 ที่ผ่านมา รวมถึงเรื่องสิทธิประโยชน์ต่างๆ ตลอดจนการลงทุนและระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน ระบบการศึกษาเพื่อพัฒนาบุคลากรให้มีความคิดสร้างสรรค์ทั้งในเรื่องของการพัฒนานวัตกรรมและการจัดการด้านดิจิตอลมากยิ่งขึ้น”