บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ค่ายรถยนต์ที่กำลังเก็บยอดขายได้เป็นกอบเป็นกำ หลังจากที่มุ่งมั่นสร้างการรับรู้ของแบรนด์อย่างต่อเนื่องจนเกิดกระแสตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าด้วยยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี
นายชาญชัย ตระการอุดมสุข ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงยอดขายในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาว่า มาสด้า2 ยังคงครองแชมป์รถยนต์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดของมาสด้า ด้วยจำนวนยอดขาย 3,966 คัน เติบโตเพิ่มขึ้น 42เปอร์เซ็นต์ ตามมาด้วยรถอเนกประสงค์เอสยูวี ออลนิว มาสด้า ซีเอ็กซ์-5 จำนวน 607 คัน มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 37เปอร์เซ็นต์ โดยในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาทุกเซกเมนต์ของมาสด้ามียอดขายที่เติบโตเป็นบวก ได้แก่ รถยนต์นั่งคันหรูดีไซน์สปอร์ตโฉบเฉี่ยวอย่างมาสด้า3 มียอดขาย 447 คัน เติบโตเพิ่มขึ้น 13เปอร์เซ็นต์ รถอเนกประสงค์คอมแพคเอสยูวี มาสด้า ซีเอ็กซ์-3 ยอดขาย 304 คัน เติบโตเพิ่มขึ้น 23เปอร์เซ็นต์ รถปิกอัพมาสด้า บีที 50-โปร มียอดขาย 596 คัน เติบโตเพิ่มขึ้น 21เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้ยอดขายของเดือนสิงหาคมนี้ปิดตัวเลขอยู่ที่ 5,920 คัน หรือ เติบโตเพิ่มขึ้น 35เปอร์เซ็นต์ และยอดขายอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนสิงหาคมมียอดขายรวมที่ 45,875 คัน หรือเพิ่มขึ้นถึง 43เปอร์เซ็นต์
“แม้ว่ามาสด้าจะเป็นบริษัทรถยนต์ขนาดเล็กแต่บริษัทและพนักงานทุกคนต่างมุ่งมั่นตั้งใจเพื่อจะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าเราไม่หยุดนิ่งที่จะคิดค้นและพัฒนาสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้นต่อไปอีก มาสด้าภูมิใจอย่างยิ่งที่เห็นผลลัพธ์ที่เกิดจากสิ่งที่เราทุกคนทุ่มเทเต็มกำลังเพื่อลูกค้าของเรา โดยเฉพาะยอดขายเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
อย่างไรก็ตามบริษัทได้ทำตามแผนงานในทุกๆส่วนควบคู่กันไปและคงเดินหน้าปรับเปลี่ยนโชว์รูมเพื่อตอกย้ำความเป็นพรีเมี่ยมของแบรนด์ สร้างความรู้สึกให้ลูกค้าทุกท่านอยากเข้ามาใช้บริการด้วยความรู้สึกเป็นกันเองเสมือนบุคคลในครอบครัว เราได้เร่งขยายโชว์รูมมาสด้าไปยังพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศ เพื่อสร้างความมั่นใจและความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้าเมื่อต้องการเข้ามาใช้บริการ
นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารฝ่ายการตลาดและรัฐกิจสัมพันธ์ กล่าวว่า มาสด้าได้สร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้มีความเป็นพรีเมี่ยมโดยในแต่ละโมเดลจะมีกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันออกไปและยังเป็นการเพิ่มทางเลือกที่หลากหลายให้แก่ลูกค้าทั้งนี้มาสด้ายังคงยึดถือลูกค้าเป็นศูนย์กลางในการพัฒนากลยุทธ์ต่างๆต่อไป เพื่อสร้างความผูกพันระหว่างแบรนด์กับลูกค้าและสร้างเกิดเป็นความจงรักภักดีต่อแบรนด์สืบเนื่องไปในอนาคต