นายพอล สตีเวนส์ รองประธานฝ่ายปฏิบัติการ แบรนด์โนโวเทล เมอร์เคียวและไอบิส ปฏิบัติการประจำแอคคอร์โฮเทล ภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยว่า ประเทศไทยถือเป็นพื้นที่เป้าหมายหลักของกลุ่มแอคคอร์ตามแผนการขยายแบรนด์โรงแรมในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยปัจจุบันมีโรงแรมในไทยที่เปิดให้บริการแล้ว 68 แห่ง คิดเป็น 1.59 หมื่นห้องพัก แบ่งเป็นโซนกรุงเทพฯ 27 แห่ง ภูเก็ต 17 แห่ง, พัทยา 6 แห่ง ที่เหลือกระจายตัวในพื้นที่เชียงใหม่,ชะอำ-หัวหิน, เขาหลัก, ขอนแก่น, ระยอง, เกาะช้าง, ชุมพร, สมุย และกระบี่
ขณะนี้มีโรงแรมที่อยู่ระหว่างก่อสร้างเตรียมเปิดให้บริการอีก 17 แห่ง คิดเป็น 4,099 ห้องพัก ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ซึ่งจะทยอยเปิดตัวตั้งแต่ในปีนี้จนถึงปี 2562 ทำให้แอคคอร์มีจำนวนโรงแรมที่เปิดให้บริการในไทยทั้งหมด 85 แห่ง ซึ่งมั่นใจว่าจำนวนโรงแรมในเครือแอคคอร์ในไทยมีโอกาสถึง 100 แห่งภายใน 5 ปีนับจากนี้ เพราะเหลือการเซ็นสัญญารับบริหารโรงแรมใหม่เพิ่มอีกเพียง 15 โรงแรมเท่านั้น มีความเป็นไปได้สูงที่จะถึงเป้าหมายดังกล่าว
สำหรับปัจจัยบวกที่หนุนการเติบโตของแบรนด์โรงแรมเครือแอคคอร์นั้นนายพอลกล่าวว่ามาจากดีมานด์ห้องพักที่เติบโตอย่างรวดเร็วทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ แม้จุดหมายหลักอย่างแหล่งท่องเที่ยวหาดทรายชายทะเล อาทิ ภูเก็ตและกระบี่ จะมีการแข่งขันสูงมากก็ตาม แต่ด้วยกระแสการเดินทางจากนักท่องเที่ยวหลายตลาด หลากพฤติกรรม ทำให้อัตราเข้าพักของทุกโรงแรมมีตัวเลขเฉลี่ยที่ดีประกอบกับไทยตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ที่มีปัจจัยสนับสนุนด้านการเดินทาง จากยอดคำสั่งซื้อเครื่องบินของสายการบินในภูมิภาคนี้ซึ่งมากที่สุดในโลก สะท้อนแนวโน้มการเติบโตที่ดีด้านท่องเที่ยว เนื่องจากการเดินทางที่สะดวกสบายและเข้าถึงการเชื่อมต่อเที่ยวบินได้ง่ายขึ้น
“เมื่อพิจารณาจากโรงแรมที่เซ็นสัญญารับบริหารไปแล้วพบว่ามี2 แบรนด์ที่เห็นการเติบโตอย่างชัดเจนคือ “โนโวเทล” แบรนด์ระดับ 4 ดาว อยู่ระหว่างการพัฒนา 3 แห่ง และแบรนด์ราคาประหยัดในกลุ่ม ไอบิส ทั้งไอบิสและไอบิส สไตล์ มีแผนขยายมากถึง 10 แห่ง”
สำหรับไอบิสถือเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มีศักยภาพในการขยายอย่างมาก ปัจจุบันเปิดให้บริการในไทยแล้ว 11 แห่ง โฟกัสตลาดระดับกลาง เจาะนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายสำคัญและหลากหลาย ตามแผนกระจายความเสี่ยง อาทิ จีนและรัสเซีย รวมถึงตลาดคนไทย ซึ่งครองสัดส่วนถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ติด 1 ใน 3 อันดับแรกของไอบิสหลาย ๆ แห่ง เป็นผลจากการสร้างการรับรู้แบรนด์หลากหลายช่องทาง ตั้งแต่เข้ามาเปิดตัวครั้งแรกในไทยเมื่อ 8 ปีก่อน ปัจจุบันกลุ่มโรงแรมไอบิสในไทยมีอัตราเข้าพักที่ 85 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 77 เปอร์เซ็นต์ และทำรายได้เฉลี่ยต่อห้องพักเพิ่มขึ้น 15 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
ด้านนางสาวกันยะรัตน์ กฤษณเทวินทร์ รองกรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ช่วงครึ่งปีหลังบริษัทเตรียมเปิดโรงแรมใหม่อีก 3 แห่ง ได้แก่ ฮ็อปอินน์ที่ภูเก็ตและหาดใหญ่ในไตรมาส 4 และเปิดฮ็อปอินน์ในต่างประเทศเป็นแห่งแรกที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ราวเดือนธันวาคมนี้ ทำให้สิ้นปี 2559 บริษัทมีโรงแรมฮ็อปอินน์รวม 23 แห่ง แบ่งเป็นในไทย 22 แห่ง และในต่างประเทศ 1 แห่ง
ทั้งนี้มั่นใจว่าปีนี้บริษัทจะมีรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10 เปอร์เซ็นต์เพิ่มจากปีที่แล้วซึ่งมีรายได้ปิดไปที่ 5.32 พันล้านบาท จากอัตราเข้าพักปีนี้ที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 81 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มจาก 70 เปอร์เซ็นต์ในปีที่แล้ว และคาดว่ารายได้เฉลี่ยต่อห้องพักจะขยายตัว 4 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ โดยไม่นับรวมแบรนด์ฮ็อปอินน์
ส่วนของกำไรตลอดปีนี้คาดว่าจะสูงกว่าปีที่แล้วซึ่งมีกำไรอยู่ที่ 197.87 ล้านบาท หลังครึ่งปีแรก บริษัททำกำไรสุทธิ 208.03 ล้านบาท มากกว่าปีที่แล้วทั้งปี และคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะมีกำไรสุทธิดีกว่าครึ่งปีแรก