บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด(มหาชน) หรือ SGP เดิมชื่อบริษัท วีเอสพีพี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด จัดตั้งขึ้นเมื่อ 17 มกราคม ปี 2544 ดำเนินธุรกิจด้านคือผลิตและขนส่ง ก๊าซหุงต้มและ ปิโตรเคมี ภายใต้เครื่องหมายการค้า สยามแก๊ส
SGP ได้รับอนุญาตให้เป็นตัวแทนค้าต่างของบริษัท อุตสาหกรรมแก๊สสยาม จำกัด และบริษัทเริ่มประกอบธุรกิจจากธุรกิจสถานีบริการก๊าซ LPG ก่อนที่จะขยายการประกอบธุรกิจไปสู่การประกอบธุรกิจโรงบรรจุก๊าซ LPG
ต่อมาได้ปรับโครงสร้างทางธุรกิจของบริษัท โดยการขยายขอบเขตการประกอบธุรกิจไปสู่การค้าก๊าซ LPG และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมประเภทอื่น รวมทั้งธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น การขนส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมทั้งทางรถยนต์และทางเรือ ด้วยการเข้าลงทุนในบริษัท ยูนิคแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมิคัลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ UGP ซึ่งประกอบธุรกิจค้าก๊าซ LPG แอมโมเนีย และผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีอื่น
ปี 2548 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน) และได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ค้าน้ำมันตามาตรา 7 ทำให้บริษัทเป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่ประกอบธุรกิจค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว แอมโมเนียและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีอื่น ภายใต้เครื่องหมายการค้า สยามแก๊ส และ ยูนิคแก๊ส และประกอบธุรกิจขนส่งก๊าซ LPG และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมอื่น
ล่าสุดนางจินตณา กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการ SGP เข้ารับมอบประกาศนียบัตรจาก นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ กรรมการแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านด้านการทุจริต หรือ CAC ในฐานะที่บริษัทเป็นองค์กรซึ่งผ่านการรับรองและเป็นสมาชิกแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต ประจำไตรมาส 4 ปี 2559 และไตรมาสที่ 1 ปี 2560
นางจินตณา กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน) เผยถึงแนวโน้มผลงานการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังปี 2560 ว่า คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องดีกว่าจากช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาเนื่องจากครึ่งปีหลังจะเข้าสู่ช่วงไฮซีซันของธุรกิจ
สำหรับแนวโน้มราคา LPG ได้ปรับตัวสูงขึ้นจากปริมาณการใช้ที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาว โดยปัจจุบันราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกเฉลี่ยเดือนกันยายนเท่ากับ 490 เหรียญสหรัฐต่อตัน ปรับตัวขึ้นจากเดือนสิงหาคมจำนวน 50 เหรียญสหรัฐต่อตัน รวมไตรมาสที่ 3 ราคาก๊าซ ปรับตัวขึ้น 102.50 เหรียญสหรัฐต่อตันจากไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา
“ปีนี้ยอดขายคาดว่าการเติบโตจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 5.2 เปอร์เซ็นต์จากปีก่อน หรือที่ประมาณ 3.2 ล้านตัน อีกทั้งมีความมั่นใจว่าผลประกอบการจะดีกว่าปีก่อนแน่นอนจากปริมาณการขายที่ปรับตัวสูงขึ้นทั้งในและต่างประเทศ ประกอบกับบริษัทสามารถบริหารจัดการสินค้าและต้นทุนได้เป็นอย่างดี ส่วนการทำธุรกิจ LPG ในต่างประเทศยังเติบโตต่อเนื่องโดยเฉพาะในตลาดจีน ปีนี้คาดว่าจะขยายตัว 5-10เปอร์เซ็นต์ และตลาดมาเลเซีย ขยายตัวได้ดี”
รองกรรมการผู้จัดการ SGP เปิดเผยเพิ่มเติมว่า จากการที่รัฐบาลได้ลอยตัวราคา LPG ทั้งระบบตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. ปี 2560ที่ผ่านมาบริษัทค่อนข้างมั่นใจว่าจะเป็นสิ่งที่ช่วยสนับสนุนให้บริษัทสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะบริษัทสามารถบริหารจัดการเรื่องต้นทุนสินค้า และการบริหารจัดการเรื่องของระบบการลำเลียงขนส่งสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถแข่งขันได้ โดยที่ผ่านมาบริษัทได้ขออนุญาตจากกรมธุรกิจพลังงานเพื่อนำเข้า LPG มาจำหน่ายในประเทศแล้ว 44,000 ตัน/เดือน และนำเข้า LPG เพื่อส่งออกอีกราว 3 พันตัน/เดือน โดยปัจจุบันบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 24.6เปอร์เซ็นต์เป็นอันดับ 2 ของตลาดก๊าซแอลพีจีในประเทศ
อย่างไรก็ตามสถานการณ์การแข่งขันของธุรกิจ LPG ในประเทศจะยังมีการแข่งขันอยู่ โดยเฉพาะในส่วนของ LPG ภาคขนส่ง เนื่องจากความต้องการใช้ก๊าซแอลพีจีในภาคขนส่งลดลง ส่งผลให้ผู้ค้าที่อยู่ในภาคขนส่งมีการแข่งขันเพื่อให้ได้มาซึ่งยอดขาย ซึ่งอาจมีการแข่งด้านราคาอยู่ ซึ่งบริษัทเองเห็นว่าเพื่อลดผลกระทบจากธุรกิจก๊าซแอลพีจีภาคขนส่งที่เกิดขึ้น บริษัทได้ร่วมมือกับผู้ประกอบการน้ำมันรายใหญ่จำนวน 2 ราย ในการลงทุนทำสถานีบริการน้ำมันในสถานีบริการก๊าซ LPG ของบริษัท โดยตั้งเป้าไว้ทั้งสิ้น 10 แห่ง เพื่อเป็นทางเลือกของผู้บริโภค
นอกจากนี้บริษัทได้มีการเน้นการจำหน่ายก๊าซ LPG ในภาคครัวเรือน และอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยผลักดันปริมาณขายของบริษัทเติบโตได้มากกว่าตลาดรวมที่คาดว่าจะโตขึ้น 2-3เปอร์เซ็นต์
“ผลงานครึ่งปีแรกรายได้และกำไรออกมาในระดับที่น่าพอใจจากปริมาณการขายและราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นดังนั้นที่ประชุมคณะกรรมการจึงมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. ปี 2560 ในอัตราหุ้นละ 0.50 บาทต่อหุ้น นางจินตณา กล่าว