ซีไอเอ็มบี ไทยเพิ่มทุน2.75พันล้านเสนอขายหุ้นเดิม2หุ้นเดิมต่อ9หุ้นใหม่ ราคาหุ้นละ1บาท เพิ่มเชื่อมั่น-เสริมแกร่งเงินกองทุนให้เพียงพอขยายธุรกิจ
นายกิตติพันธ์ อนุตรโสตถิ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ เมื่อวันที่ 19 ม.ค.ที่ผ่านมา อนุมัติให้นำเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นของธนาคาร เพื่อพิจารณาอนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียนของธนาคารอีก 2,752,747,964.00 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 12,387,365,839.50 บาท เป็น 15,140,113,803.50 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน 5,505,495,928 หุ้น พาร์หุ้นละ 0.50 บาท
การเพิ่มทุนครั้งนี้ เพื่อรองรับการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นตามสัดส่วนจำนวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นแต่ละรายถืออยู่ (Rights Offering) รวมทั้งอนุมัติการแก้ไขเพิ่มเติมหนังสือบริคณห์สนธิ ข้อ 4 เพื่อให้สอดคล้องกับการเพิ่มทุนจดทะเบียนของธนาคาร
ทั้งนี้อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) และเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Tier 1) ณ วันที่ 31 ธ.ค.2559 ของธนาคารอยู่ที่ 16.1% และ 10.7% ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าระดับที่ทางการกำหนด หลังจากการทำ Rights Offering ครั้งนี้ จะทำให้ธนาคารมี BIS ratio แข็งแกร่งขึ้นเป็น 18.5% ซึ่งจะเป็นการเสริมความมั่นคงของฐานเงินกองทุนและงบดุลของธนาคารมากยิ่งขึ้น พร้อมรับการเติบโตของธุรกิจในปี 2560
“โดยธนาคารจะเน้นยุทธศาสตร์หลัก 5 C’s คือ Customer (ลูกค้า) Culture (วัฒนธรรม) Compliance (การปฏิบัติตามกฎเกณฑ์) Cost (ค่าใช้จ่าย) และ Capital (เงินทุน) โดยตั้งเป้าการเติบโตของสินเชื่อในระดับปานกลางที่ 5-10% จากแนวทางที่คณะกรรมการธนาคารได้กำหนดและการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มซีไอเอ็มบี ธนาคารมีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถกลับมามีผลประกอบการกำไรในปี 2560 นี้” นายกิตติพันธ์ กล่าว
ธนาคารจะเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นของธนาคาร เพื่อพิจารณาอนุมัติการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของธนาคาร 5,505,495,928 หุ้น พาร์หุ้นละ 0.50 บาท ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนจำนวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นแต่ละรายถืออยู่ ในอัตราจัดสรร 2 หุ้นใหม่ต่อ 9 หุ้นเดิม ในราคาเสนอขาย 1 บาทต่อหุ้น ธนาคารกำหนดจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2560 ขึ้นในวันที่ 24 ก.พ.2560
กรณีที่มีหุ้นสามัญเพิ่มทุนเหลือจากการจัดสรรรอบแรกให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม ธนาคารจะดำเนินการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เหลือดังกล่าวให้กับผู้ถือหุ้นเดิมที่ประสงค์จะซื้อหุ้นเกินสิทธิตามสัดส่วนการถือหุ้น ในราคาเดียวกันกับหุ้นที่ได้รับการจัดสรร
ด้าน เต็งกู ดาโต๊ะ ศรี ซาฟรูล อาซิส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มซีไอเอ็มบี กล่าวว่า จากการที่ภาวะเศรษฐกิจในไทยยังคงฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ประกอบกับสภาวการณ์การประกอบธุรกิจที่ท้าทายปัจจุบัน ธนาคารจึงได้กันสำรองหนี้สูญเพิ่มขึ้นในไตรมาส 4 ปี 2559 กลุ่มซีไอเอ็มบีเชื่อมั่นว่าธนาคารจะสามารถกลับมามีกำไรอีกครั้งในปี 2560 โดยกลุ่มซีไอเอ็มบียังคงให้การสนับสนุนการดำเนินการตามแผนธุรกิจของธนาคารอย่างเต็มที่ ซึ่งรวมถึงการสนับสนุนการเพิ่มทุนที่ประกาศในวันนี้ด้วย
“ประเทศไทยมีศักยภาพในการเติบโตทางธุรกิจสูง และยังคงเป็นฐานเชิงกลยุทธ์ของกลุ่มซีไอเอ็มบี ในการเสริมและสนับสนุนการค้าข้ามพรมแดนภายในภูมิภาคอาเซียน จากการที่กลุ่มมีเครือข่ายธุรกิจอยู่ในหลายประเทศเศรษฐกิจหลักของภูมิภาคนี้”
ส่วนผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคาร สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.ที่ผ่านมา มีรายได้จากการดำเนินงาน 12,928.1 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 694.1 ล้านบาท หรือ 5.7% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปี 2558 สาเหตุหลักเกิดจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 16.4% และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ 11.4% ในขณะที่รายได้อื่นลดลง 37.7% กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น 7.8% เป็น 5,504.6 ล้านบาท เนื่องจากการเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน 4.2%
ทั้งนี้ธนาคารมีผลขาดทุนสุทธิสำหรับปี 2559 จำนวน 629.5 ล้านบาท ขณะที่ปี 2558 กำไรสุทธิ 1,052.4 ล้านบาท เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นในสำรองหนี้สงสัยจะสูญ 66.6% ซึ่งการตั้งสำรองที่สูงขึ้นนั้นมาจากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของบางกลุ่มอุตสาหกรรม ในระหว่างปีประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่อยู่ในระยะฟื้นตัว
เมื่อเปรียบเทียบผลการดำเนินงานสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.2559 และปี 2558 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 1,388.7 ล้านบาท หรือ 16.4% เป็นผลจากการลดลงของค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย 21.8% รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้น 167.9 ล้านบาท หรือ 11.4% ส่วนใหญ่มาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ธุรกรรมเช่าซื้อและสัญญาเช่าทางการเงิน และค่าธรรมเนียมจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประกันภัย และรายได้จากการดำเนินงานอื่นลดลง 862.6 ล้านบาท หรือ 37.7% ส่วนใหญ่เกิดจากการลดลงของธุรกรรมบริหารเงิน
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจำนวน 296.2 ล้านบาท หรือ 4.2% เมื่อเทียบกับปี 2558 สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่นสุทธิ กับการลดลงของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาคารสถานที่ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้จากการดำเนินงานสำหรับปี 2559 อยู่ที่ 57.4% ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2558 อยู่ที่ 58.3% เป็นผลจากแผนการบริหารจัดการเพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีผนวกกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น
อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Net Interest Margin-NIM) อยู่ที่ 3.77% สำหรับปี 2559 ขณะที่ปี 2558 อยู่ที่ 3.27% เป็นผลจากการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ส่วนเงินให้สินเชื่อสุทธิจากรายได้รอตัดบัญชี (รวมเงินให้สินเชื่อซึ่งค้ำประกันโดยธนาคารอื่นและเงินให้สินเชื่อแก่สถาบันการเงิน) ของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 206.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.7 เมื่อเทียบกับปีก่อน กลุ่มธนาคารมีเงินฝาก (รวมตั๋วแลกเงิน หุ้นกู้ และผลิตภัณฑ์ทางการเงินบางประเภท) 223.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.4% จากสิ้นปี 2558 ซึ่งมี 218.4 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก ของกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้นเป็น 92.4% จาก 91.2% ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2558
สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) อยู่ที่ 12.7 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อเงินให้สินเชื่อทั้งสิ้น (NPL ratio) อยู่ที่ 6.1% เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับวันที่ 31 ธ.ค.2558 อยู่ที่ 3.1% เพราะความสามารถชำระหนี้ของลูกค้าภาคธุรกิจบางรายลดลง อย่างไรก็ตาม ธนาคาร ยังคงมาตรฐานการอนุมัติสินเชื่อ และนโยบายการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุมขึ้น ตลอดจนได้มีแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพการติดตามหนี้ การดำเนินการดูแล และการแก้ไขลูกหนี้ที่ถูกผลกระทบดังกล่าวอย่างใกล้ชิด
อัตราส่วนเงินสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่ 77.3% ลดลงจากสิ้นปี 2558 ซึ่งอยู่ที่ 106.5% ณวันที่ 31 ธ.ค.2559 เงินสำรองของธนาคารและบริษัทย่อยอยู่ที่ 9.8 พันล้านบาท ซึ่งเป็นสำรองส่วนเกินตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย 3.5 พันล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หากนับรวมการขายเอ็นพีแอลบางส่วนออกไปเมื่อต้นเดือนม.ค.2560 จะส่งผลให้เอ็นพีแอล ณ วันที่ 31 ธ.ค.2559 อยู่ที่ 4.8% และอัตราส่วนเงินสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่ 86.4% ตามลำดับ เงินกองทุนรวมของกลุ่มธนาคาร 38.0 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยง 16.1% โดยเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่ที่ 10.7%