นายภานพ อังศุสิงห์ ผู้บริหารสายงานวาณิชธนกิจ และ นายก้องกฤษฎิ์ กังวานชัย ผู้บริหารกลุ่มงานวาณิชธนกิจ ธนาคารกสิกรไทย เป็นผู้แทนธนาคารรับ 5 รางวัล จาก The Asset ซึ่งสะท้อนความพร้อมในการให้คำปรึกษาและระดมทุนอย่างครบวงจรแก่บรรษัทขนาดใหญ่
สำหรับ 5 รางวัลที่ธนาคารได้รับ ได้แก่ รางวัล Project Finance House of the Year, Thailand เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน, รางวัล Project Finance House of the Year, Laos, รางวัล Power Deal of the Year, Thailand , รางวัล Renewable Energy Deal of the Year, Thailand และ รางวัล Power Deal of the Year, Laos
รางวัลดังกล่าว จัดขึ้นโดย The Asset นิตยสารการเงินชั้นนำในภูมิภาคเอเชีย ที่มีความน่าเชื่อถือในตลาดการเงินและการลงทุนของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นอกจากนี้ธนาคารยังได้รับอีก 1 รางวัล ที่ได้รับติดต่อกันเป็นปีที่ 8 แล้วคือรางวัล Best Retail Bank in Thailand 2017 จากงานประกาศรางวัล The International Excellence in Retail Financial Service Awards 2017 จัดขึ้นโดย วารสาร ดิ เอเชียน แบงเกอร์ โดยมีเกณฑ์พิจารณาจากธนาคารที่มีผลการดำเนินงานแข็งแกร่ง มีการบริหารสินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ โดยครองความเป็นผู้นำตลาดของผลิตภัณฑ์ทางการเงินหลักและช่องทางดิจิทัลแบงก์กิ้งในประเทศไทย ควบคู่กับการขยายฐานลูกค้าโดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง
อย่างไรก็ตามยังมีอีก 2 รางวัลแห่งความภาคภูมิใจที่ธนาคารได้รับ คือ ได้แก่ รางวัลธนาคารที่มีความเป็นเลิศด้านการให้บริการกับกลุ่มลูกค้าบุคคลพิเศษ และรางวัลสุดยอดกิจกรรมการตลาดบนสื่อสังคมออนไลน์ของบัตรเครดิต จากงานประกาศรางวัล Retail Banker International Asia Trailblazer Awards 2017
นายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เผยว่า ธนาคารกสิกรไทยประกาศผลการดำเนินงาน 9 เดือนที่ผ่านมาโดยธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 28,631 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 4.34เปอร์เซ็นต์
เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2559 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ จำนวน 28,631 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 1,299 ล้านบาท หรือ 4.34 เปอร์เซ็นต์ ส่วนใหญ่เกิดจากธนาคารมีการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญและภาษีเงินได้จำนวน 70,647 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 1,650 ล้านบาท หรือ 2.39 เปอร์เซ็นต์ ส่วนใหญ่เกิดจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 3,467 ล้านบาท หรือ 5.20เปอร์เซ็นต์ และมีอัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ อยู่ที่ระดับ 3.44 เปอร์เซ็นต์ โดยรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยลดลงจำนวน 652 ล้านบาท หรือ 1.34 เปอร์เซ็นต์ ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากรายได้สุทธิจากการรับประกันภัยลดลง ในขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 1,887 ล้านบาท หรือ 6.49 เปอร์เซ็นต์
นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ เพิ่มขึ้นจำนวน 1,165 ล้านบาท หรือ 2.52 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ อยู่ที่ระดับ 40.16 เปอร์เซ็นต์
หากเปรียบเทียบการดำเนินงานระหว่างไตรมาส 3/2560 กับ ไตรมาสที่ 2/2560 พบว่า ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 9,473 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนจำนวน 487 ล้านบาท หรือ 5.42เปอร์เซ็นต์ ส่วนใหญ่เกิดจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 367 ล้านบาท หรือ 1.57 เปอร์เซ็นต์ และมีอัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ อยู่ที่ระดับ 3.47 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจำนวน 468 ล้านบาท หรือ 2.93 เปอร์เซ็นต์ ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากรายได้จากผลิตภัณฑ์ตลาดทุน และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้น ในขณะที่รายได้สุทธิจากการรับประกันภัยลดลง
นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ เพิ่มขึ้นจำนวน 487 ล้านบาท หรือ 3.07 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ อยู่ที่ระดับ 40.70 เปอร์เซ็นต์