ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยนำคณะเข้าพบนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เสนอ 8 มาตราการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน
นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าจากการนำคณะกรรมการเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อนำเสนอมุมมองข้อเสนอของภาคเอกชนต่อการผลักดันเศรษฐกิจของประทศ โดยมีข้อเสนอ 8 ด้าน ประกอบด้วย ด้านที่1เร่งผลักดันร่างพระราชบัญญัติการบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด โดยเสนอให้จัดตั้งคณะกรรมการอากาศสะอาด ทำหน้าที่กำหนดนโยบายและพัฒนา ระบบการจัดการอากาศของประเทศ โดยมีกลไกรับผิดชอบลงไปในระดับพื้นที่ของแหล่งมลพิษทางอากาศ ในระหว่างที่ไม่มีกฎหมายการบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดบังคับใช้ ซึ่งกระทรวงฯเห็นด้วยและจะสนับสนุนตามขั้นตอนต่อไป
ด้านที่ 2 จัดทำบันทึกลงนามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างหอการค้าไทยและสถาบันอาหาร เพื่อส่งเสริมการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรและอาหารด้วยนวัตกรรม และเพิ่มความร่วมมือ ระหว่างกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และหอการค้าไทย ในการขับเคลื่อนโครงการสร้างปั้นนักธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม ร่วมกับโครงการ 1 ไร่ 1 ล้าน เพื่อพัฒนาและสร้างต้นแบบของผู้ประกอบการทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคสู่การเป็นนักธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและต่อยอดในเชิงพาณิชย์สู่ตลาดสากล ซึ่งกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม แจ้งว่าได้มีความร่วมมือกับหอการค้าอยู่แล้วเป็นระยะๆ และจะประสานความร่วมมือดังกล่าวต่อไป ด้านที่ 3 เสนอให้เพิ่มอัตรากำลังเพื่อติดตามและตรวจสอบการนำเข้าสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน และถ่ายโอนงานบริการด้านงานตรวจสอบและรับรองคุณภาพมาตรฐาน ให้แก่ภาคเอกชนที่มีความพร้อมดำเนินการแทน เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและครอบคลุมสินค้าที่ต้องทดสอบ รวมทั้ง บูรณาการการทำงานห้องทดสอบหน่วยงานภาครัฐ ด้วยการอำนวยความสะดวกการให้บริการ แบบ One stop service เพื่อลดปัญหาการทดสอบสินค้าไม่ทันเวลาและต้องส่งห้องทดสอบหลายแห่ง
สำหรับในเรื่องนี้ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) แจ้งว่าได้มีการถ่ายโอนงานให้กับหน่วยงานภายนอกตรวจสอบสินค้า และสนับสนุนงบประมาณด้านอุปกรณ์ให้กับห้องทดสอบหลายแห่งเป็นประจำทุกปี อย่างไรก็ดี อาจมีสินค้าที่ไม่ได้อยู่ในการควบคุมที่ดูแลไม่ถึงบ้าง
ด้านที่ 4 สนับสนุนให้มีการศึกษาและหาแนวทางการกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ให้ถูกต้องตามหลักสากลเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม โดยขอให้กระทรวง และภาคเอกชน (กกร.) มีการหารือร่วมกัน โดยเฉพาะการกำจัดซากแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือ และโทรทัศน์ ซึ่งกระทรวงจะมีการหารือในรายละเอียดร่วมกันต่อไป
ขณะที่ ด้านที่ 5 ส่งเสริมแนวทาง Circular Economy ในบทบาทของกระทรวงอุตสาหกรรม อาทิ ขอให้จัดตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เพื่อขับเคลื่อนแนวคิด Circular Economy ในการผลิตสินค้าและบริการตั้งแต่ขั้นตอน R&D การออกแบบผลิตภัณฑ์ตลอดจนการใช้งานของผู้บริโภค และเร่งสร้างมาตรฐานอุตสาหกรรม โดยให้ สมอ.เป็น Certified Body เช่นเดียวกับ EUCertPlast ในการกำหนดปริมาณ Recycle ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ และ Certify แหล่งที่มาของ Recycle รวมทั้ง ช่วยผลักดันให้เกิด Waste Management ในรูปแบบ End to End เพื่อเพิ่มปริมาณ Recycle และลด Waste to Landfill โดยให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ให้การสนับสนุนการลงทุน อีกทั้ง เร่งรัดห้ามการนำเข้า Plastic Waste ด้านที่ 6 พิจารณาการแยกประเภทโรงงานอุตสาหกรรมเคมีชีวภาพและอุตสาหกรรมต่อเนื่องออกจาก อุตสาหกรรมปิโตรเคมีให้ชัดเจน เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องผังเมืองที่เกี่ยวกับที่ตั้งโรงงานแปรรูปสินค้าเกษตรในพื้นที่สีเขียว ซึ่งกระทรวงแจ้งว่า ได้มีการปรับปรุงนิยามของโรงงานลำดับที่ 42 ให้ละเอียดขึ้นโดยเพิ่มเติมใน 3 ประเด็น ซึ่งน่าจะครอบคลุมตามที่หอการค้าไทยเสนอมา (โรงงานลำดับที่ 42 ตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 หมายถึง โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับเคมีภัณฑ์ สารเคมี หรือวัสดุเคมี ซึ่งมิใช่ปุ๋ย)
ด้านที่ 7 ผลการทบทวนรายชื่อวัตถุอันตรายและขยายระยะเวลาในการบังคับใช้ ตามข้อเสนอของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ออกประกาศกำหนดให้ พาราควอต และคลอร์ไพริฟอส เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 โดยกำหนดระยะเวลาใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนปี 2563 ทำให้ ผู้ประกอบอาหารแปรรูป มีวัตถุดิบป้อนเข้าสู่โรงงานผลิต และสามารถนำเข้าวัตถุดิบทางการเกษตรจากประเทศอื่น ๆ มาผลิตเพื่อการส่งออกได้ ซึ่งภาคเอกชน พร้อมช่วยตรวจสอบว่ามีสารประเภทใดบ้างที่สามารถใช้ทดแทนสารดังกล่าว เพื่อจะได้เป็นข้อมูลในการพิจารณาขั้นต่อไป และด้านที่8 ขอให้ทบทวนการยกเลิกโควตาน้ำตาลสำหรับการผลิตเพื่อส่งออก (โควตา ค.) หรือสร้างมาตรการอื่นรองรับ เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการในการลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ โดยกระทรวงรับทราบและจะนำไปพิจารณาร่วมกับข้อมูลที่ได้รับจากชาวไร่และความเห็นของกระทรวงพาณิชย์เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมต่อไป