นายณรัตน์ไชย หลีระพันธ์ ประธาน บริษัท โพลีเทคโนโลยี จำกัด ผู้จำหน่ายอุปกรณ์ Solar Inverter Huawei รายใหญ่ในภูมิภาค Asia Pacific (Asia Pacific Huawei Value Added Partner), ระบบศูนย์ข้อมูล (Data Center Facility), ระบบอัตโนมัติทางอุตสาหกรรมชั้นนำและผู้ให้บริการโซลูชั่นด้านวิศวกรรม รวมถึงการรวมระบบและระบบควบคุมอุตสาหกรรมให้กับบริษัทน้ำมันและก๊าซรายใหญ่ และผู้บุกเบิกการติดตั้งระบบชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถยนต์อย่างครบวงจร เปิดเผยถึงจุดเริ่มต้นของธุรกิจว่า จริงๆแล้วบริษัทเรา ก่อตั้งขึ้นก่อน ปตท. มาประมาณ 1 ปี ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1977 รับออกแบบและให้คำปรึกษาสู่เป็นตัวแทนจำหน่ายและกระจายสินค้ากระทั้งช่วงปี 2001 ขยายธุรกิจสู่ CNG / NGV พัฒนาธุรกิจเรื่อยมา จนกระทั่งมาพัฒนาธุรกิจด้านเทคโนโลยีพลังงานทดแทน Solar Inverter, BESS, UPS, Datacenter, EV Charger, Carbon Footprint และระบบคลังสินค้าอัตโนมัติ
Q : กำเนิดธุรกิจ EV Charger
เราเริ่มต้นธุรกิจ EV Charger ตั้งแต่ปี 2014 มีผลงานมากมาย เช่น เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าให้กับ กฟผ.,กฟน., สถานีชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าในโครงการคอนโดมิเนียมของ AP, แบรนด์รถยนต์หรูอย่าง BMW, สถานีบริการน้ำมัน PTTOR เฟส1,เฟส 2 และ เฟส3 ต้องยอมรับว่าประเทศจีนเป็นคู่แข่งสำคัญมีการแข่งขันด้านราคาที่เข้มข้นขึ้น ประเทศจีนได้เปรียบในเรื่องของต้นทุนที่ต่ำกว่า ส่วนเราได้เปรียบด้านประสบการณ์ คุณภาพ และเรื่องของบริการหลังการขาย รวมไปถึงความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า ยิ่งไปกว่านั้นโพลีเทคฯ ให้ความสำคัญกับคุณภาพมาเป็นอันดับหนึ่ง
Q : รถไฟฟ้ากับรถน้ำมันทดแทนกันได้หรือไม่?
อนาคตฟันธงว่ารถไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นแน่นอน ประเทศไทยที่อยู่ระหว่างเปลี่ยนผ่านในหลาย ๆ เรื่อง โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจไฟฟ้า ทำให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าไว้ใช้เองในครัวเรือนมากขึ้น และใช้ไฟฟ้าจากระบบผลิตลดลง ยิ่งไปกว่านั้นปัจจุบันโลกเผชิญกับปัญหาภาวะโลกร้อนมากขึ้นและมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดและยั่งยืน คือต้องลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ลง ซึ่งจะต้องลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ลดมลพิษที่เกิดจากการสันดาปของรถยนต์น้ำมันลงให้ได้มากที่สุด โดยใช้พลังงานทดแทนอื่นๆ เช่น รถที่ใช้พลังงานจากไฟฟ้า (EV) คาดว่าจะเข้ามาแทนใน 10-20 ปีข้างหน้า อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ จะมีการพัฒนาให้ใช้ไฟฟ้าลดลง
Q : พลังงานสีเขียวต้องเริ่มจากบ้าน?
บ้านนี่เป็นแหล่งสำคัญ ถ้าทำได้มันก็สร้างความเข้าใจในเรื่องการประหยัดพลังงาน ไปสู่การที่ทำงาน, ออฟฟิศ, โรงงาน, ภาคอุตสาหกรรม ต้องเป็นไฟฟ้าพลังงานสีเขียว ณ ปัจจุบัน การทำเรื่องคาร์บอนเครดิต เป็นการสมัครใจ แต่สุดท้ายจะเข้าสู่ภาคบังคับ ต่อไป บ้าน สำนักงาน ต้องเปลี่ยนเป็นพลังงานสีเขียว เช่น ตอนนี้อย่างโครงการหมู่บ้านต่างๆหันมาขายบ้านพร้อมติดตั้งโซลาร์ EV เหมือนเป็นการกระตุ้นให้คนมาสนใจเรื่องการลดโลกร้อนมากขึ้น
Q : สิ่งสำคัญในการทำธุรกิจ
ณ ขณะนี้มองว่าทุกอุตสาหกรรมต้องปรับตัวรับคาร์บอนฟุตพริ้นท์ การพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ เพราะ CBAM หรือ มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน กำลังได้รับความสนใจอย่างมาก เพราะนับเป็นครั้งแรกในโลกที่จะมีการเก็บภาษีสินค้านำเข้าที่มีการปล่อยคาร์บอนสูง โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2569 ซึ่งเหลือเวลาเตรียมตัวอีกไม่มาก ขณะที่อุตสากรรมเรากำลังเพิ่งตื่นตัว เพื่อนบ้านอย่างเช่น ประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม ก็พัฒนาขึ้นมา จึงมองว่าอุตสาหกรรมบ้านเราต้องยกเครื่องใหม่ทั้งหมดจากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ
บริษัทเราทำทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการประหยัดพลังงาน เช่น การทำอาคารสีเขียวเป็นการช่วยลดการใช้พลังงาน ติดตั้งระบบโซลาร์ ระบบEV Charger ซึ่งเป็นการปรับตัวมาเรื่อยๆ และจับมือกับ Root Cloud หาแพลตฟอร์ม Industrial IOTเอามายกระดับการผลิตอุตสาหกรรให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน
Q : ก้าวต่อไปของ “โพลีเทคโนโลยี”
ขณะนี้กำลังเตรียมความพร้อมที่จะนำบริษัทโพลีเทคฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้ได้ภายในปี 2569 ซึ่งเหลือเวลาอีกประมาณ 2 ปี ในการเตรียมแผนซึ่งบริษัทวางระบบทุกอย่างไว้หมดแล้ว ทั้ง Advisor และ KPMG เพียงแต่ว่าต้องสะสางทุกอย่างให้เข้าที่ ปรับโครงสร้างทุกอย่างให้แข็งแรง โดยเฉพาะในเรื่องCarbon Footprint ซึ่งเราให้ความสำคัญมาก ยุคต่อไปจะมีเทคโนโลยี AI เข้ามาอีก หลายอย่างจะเปลี่ยนมาสู่สีเขียวให้หมดเลย การขนส่งต้องเขียว กรีน โลจิสติกส์ พวกระบบการบริหารให้นิคมต่างๆมีความพร้อมรับการลงทุนจากต่างประเทศ เพราะตอนนี้บ้านเราเสียเปรียบมากเพราะโรงงานนิคมเราที่มีอยู่ยังไม่พร้อมไปสู่อุตสาหกรรมสีเขียว
บริษัทเรามีประสบการณ์กว่า 46 ปี ทำงานให้หน่วยงานต่างๆมากมายทั้งภาครัฐ และเอกชน อย่างมั่นคง ด้วยการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ สามารถหาคนที่เป็นมืออาชีพเข้ามาบริหารได้ มีเทคโนโลยีที่มีคุณภาพ มีผลงานที่เป็นที่ยอมรับอย่างยั่งยืนตลอดไป