บริษัท สหมิตรถังแก๊ส จำกัด (มหาชน) หรือ SMPC ผู้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตถังแก๊สปิโตรเลียมเหลวและถังทนความดันชนิดต่างๆ จำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนจำกัดในประเทศไทยและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
สำหรับปีนี้บริษัทได้รับคัดเลือกให้เข้าอยู่ในกลุ่มบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่น ด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล หรือ ESG100 (Outstanding Companies in Environmental, Social, and Governance) ในหมวดสินค้าอุตสาหกรรม ประจำปี 2560 จากสถาบันไทยพัฒน์ โดยรางวัลดังกล่าวบริษัทได้รับเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน
ทั้งนี้ บริษัทที่ได้รับการคัดเลือกอยู่ในกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 มาจากกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ มากสุด คือ 18 บริษัท รองลงมาเป็นกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม จำนวน 16 แห่ง และมีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาด mai เข้าอยู่ใน ESG100 จำนวน 10 บริษัท ได้แก่ ARROW, BKD, D, FPI, ITEL, PPS, SPA, TACC, TPCH, WINNER
การจัดอันดับหลักทรัพย์กลุ่ม ESG100 จัดมาต่อเนื่องเป็นปีที่สาม นอกจากจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาระดับการเปิดเผยข้อมูล ESG ของบริษัทจดทะเบียนแล้ว ยังจะเป็นการเผยแพร่ข้อมูล ESG ของบริษัทจดทะเบียนที่ดำเนินการได้ดีให้แก่ผู้ลงทุนทั้งใน และต่างประเทศ เพิ่มโอกาสการลงทุนในบริษัทจดทะเบียนจากกลุ่มผู้ลงทุนที่ใช้เกณฑ์ ESG เพื่อสร้างผลตอบแทนทางการเงินที่น่าพอใจในระยะยาว พร้อมๆ กับการสร้างผลกระทบทางสังคมในเชิงบวก
นายสุรศักดิ์ เอิบสิริสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัทสหมิตรถังแก๊ส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีนี้ บริษัทตั้งเป้าการเติบโตไว้ 15-20 เปอร์เซ็นต์ จากระดับ 3.5 พันล้านบาทในปีก่อน โดยคาดว่าปีนี้จะมีปริมาณการขายถังแก๊สอยู่ที่ 6.54 ล้านใบ จากภาพรวมอุตสาหกรรมการใช้ถังแก๊สที่เติบโต โดยเฉพาะในต่างประเทศที่มียอดขายถังแก๊สที่ดี
ในครึ่งปีหลัง บริษัทได้ร่วมกันว่าแผนดำเนินงานไว้เป็นที่เรียบร้อยและมีความมั่นใจยอดขายปีนี้โตตามเป้าที่วางเอาไว้ ซึ่งได้รับอานิสงห์จากความต้องการใช้ถังแก๊ส LPG ในตลาดแอฟริกาและเอเชียใต้ที่โตต่อเนื่อง โดยบริษัทอัพกำลังการผลิตถังเพิ่มขึ้นเป็น 8.2 ล้านใบต่อปี
ด้านบอร์ดมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับรอบผลการดำเนินงาน สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. ปี 2560 ในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท
กรรมการผู้จัดการ เผยว่าสาเหตุที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2560 แตกต่างจากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากยอดขายรวมเพิ่มขึ้น 37.5 เปอร์เซ็นต์ หรือ 281.03 ล้านบาท จากปริมาณขายเพิ่มสูงขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศราว 95 เปอร์เซ็นต์ และอีก 5 เปอร์เซ็นต์ เป็นสัดส่วนรายได้จากในประเทศ ทั้งนี้พื้นที่การขายในต่างประเทศจะอยู่ในโซนแอฟริกาสัดส่วน 39 เปอร์เซ็นต์ โซนเอเชียแปซิฟิกสัดส่วน 31 เปอร์เซ็นต์ โซนตะวันออกกลาง ยุโรป และสหรัฐฯรวมกันสัดส่วน 25 เปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตามการเติบโตของปริมาณขายต่อปีที่ค่อนข้างสูงส่งผลให้บริษัทต้องขยายกำลังการผลิตรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยโรงงานในประเทศสามารถรองรับการผลิตได้อย่างน้อยจนถึงปี 2561 ซึ่งบริษัทมองหาโอกาสในการขยายกำลังการผลิตทั้งการตั้งโรงงานใหม่ไปยังต่างประเทศ เพื่อประโยชน์ในด้านลดระยะเวลาและต้นทุนการขนส่งสินค้า และมาตรการกีดกันทางการค้าเช่นกำแพงภาษีจากการส่งสินค้าเข้าไปจำหน่ายในประเทศนั้น ๆ
บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาร่วมลงทุนกับพันธมิตรท้องถิ่น เพื่อลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตถังแก๊ส กำลังการผลิต 2.5 ล้านใบ/ปี ในเอเชียและแอฟริกา มูลค่าลงทุนคาดว่าอยู่ที่ 300-400 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถเห็นความชัดเจนการลงทุนโครงการดังกล่าวได้ภายในปีนี้ ทั้งนี้เพื่อรองรับกับความต้องการใช้ถังแก๊สที่อยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะความต้องการใช้ในต่างประเทศ แต่อย่างไรก็ตามบริษัทจะต้องศึกษาอย่างรอบคอบ เพราะบริษัทเคยตัดสินใจลงทุนผิดพลาดมาแล้วในอดีต
ขณะเดียวกันในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุน 100 ล้านบาท ในการใช้ซื้อเครื่องจักรเข้ามาทดแทนเครื่องจักรบางอย่างที่ชำรุด